วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

11 ภัตตาคารที่วิวดีที่สุดในโลก

11 ภัตตาคาร “วิวดีที่สุดในโลก” 


นิตยสารทราเวล แอนด์ เลเชอร์ เผยรายชื่อ 11 ภัตตาคารที่มี “วิวดี” ที่สุดในโลก ซึ่งหนึ่งในนั้นมีภัตตาคารในประเทศไทยรวมอยู่ด้วย มาดูกันว่าจะมีที่ไหนบ้าง

ภัตตาคารอาสิเอท (Asiate) ในกรุงนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา 



ภัตตาคารสุดหรูแห่งนี้ตั้งอยู่บนชั้น 35 ของ “โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล” ในกรุงนิวยอร์ก เนื่องจากภายในมีผนังกระจกสูงจากพื้นจรดเพดาน (16 ฟุต) แขกที่มารับประทานอาหารจึงมองเห็นตึกระฟ้าย่านแมนฮัตตันและต้นไม้อันเขียว ชอุ่มภายใน “เซ็นทรัล ปาร์ค” ได้แบบเต็มๆ ส่วนอาหารที่เสิร์ฟภายในภัตตาคารแห่งนี้จะเป็นสไตล์ “คอนเทมโพรารี่ อเมริกัน” ที่มีกลิ่นอายเอเชีย ซึ่งปรุงโดยสุดยอดเชฟชาวเอเชียที่ประจำอยู่หลายคนด้วยกัน 

หัวหน้าเชฟ “แบรนดอน คิดะ” 


ภัตตาคารแอมโบรเชีย (Ambrosia) – เกาะซานโตรินี ประเทศกรีซ 



ภัตตาคารแห่งนี้ตั้งอยู่บนขอบปล่องภูเขาไฟ ในหมู่บ้านเอีย (Oia) บนเกาะซานโตรินี ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกดินที่สวยที่สุด โดยแขกที่มารับประทานอาหารบริเวณลานด้านนอกจะได้เห็นวิวสวยๆ ของทะเลอีเจียนสีน้ำเงินเข้ม หมู่เกาะภูเขาไฟใหญ่น้อย และสถาปัตยกรรมที่สวยงามแปลกตาตามเชิงเขา แต่โต๊ะอาหารที่ตั้งอยู่กลางแจ้งจะเปิดให้บริการระหว่างเดือนเมษายน-ตุลาคม เท่านั้น และถ้าใครอยากมานั่งทานอาหารท่ามกลางบรรยากาศดีๆ แบบนี้ก็ต้องจองโต๊ะเอาไว้ล่วงหน้าเป็นเวลา 1 เดือน 





ภัตตาคารโรซเซลลินิส (Rosellinis) ในเมืองราเวลโล ประเทศอิตาลี 



ภัตตาคารแห่งนี้ตั้งอยู่บนเนินเขาสูงราว 1,000 ฟุต (305 ม.) ภายใน โรงแรมปาราซโซ ซัสโซ (Palazzo Sasso) จึงให้มุมมองที่สวยงามของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และอ่าวอามัลฟี่ โคสต์ แต่ถ้าไปถึงแล้วไม่ได้นั่งรับประทานอาหารบริเวณลานด้านนอก ลองติดต่อขอนั่งโต๊ะติดผนังกระจกภายในร้าน (ถ้าว่าง) ซึ่งจะให้มุมมองที่สวยงามไม่แพ้กัน ส่วนอาหารที่นี่จะเป็นสไตล์เมดิเตอร์เรเนียนระดับมิชลิน 2 ดาว แต่จะเปิดให้บริการเฉพาะมื้อเย็นถึงค่ำ ในช่วงกลางเดือนมีนาคม-ตุลาคมเท่านั้น 




ภัตตาคาร เลอ จูลส์ เวิร์น (Le Jules Verne) บนหอไอเฟล กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส 


ภัตตาคารแห่งนี้ตั้งอยู่บนหอไอเฟล เหนือระดับพื้นดิน 410 ฟุต (125 ม.) จึงมองเห็นวิวที่สวยงามของกรุงปารีสได้กว้างไกลชนิดสุดลูกหูลูกตาทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน ที่นี่จะเสิร์ฟอาหารฝรั่งเศสทั้งแบบดั้งเดิมและสไตล์โมเดิร์น (แต่ไวน์ภายในร้านเป็นของฝรั่งเศสล้วนๆ) ถ้าใครอยากเข้าไปนั่งรับประทานอาหารพร้อมชมวิวสวยๆ ของกรุงปารีสที่ภัตตาคารแห่งนี้ ก็ควรจองโต๊ะเอาไว้แต่เนิ่นๆ โดยสามารถจองโต๊ะผ่านทางเว็บไซต์ของภัตตาคารได้ล่วงหน้านานถึง 3 เดือน 





ภัตตาคารบ้านริมผา – จ. ภูเก็ต 


ภัตตาคารแห่งนี้ตั้งอยู่ภายในบ้านไม้สัก ที่ตั้งอยู่ริมหน้าผา จึงมองเห็นทิวทัศน์ที่สวยงามจากหาดป่าตองถึงอ่าวกะหลิม และท้องทะเลอันดามันอันกว้างใหญ่สวยงาม สำหรับอาหารที่เสิร์ฟภายในร้านจะเป็นอาหารไทยตำรับชาววัง อาทิ แพนงเป็ด กุ้งโสร่ง ฯลฯ นอกจากส่วนของภัตตาคารแล้วภายในบ้านหลังนี้ยังมี ค็อกเทลบาร์, ห้องเก็บไวน์, ลา โคมองช์ ซิการ์ & ไวน์บาร์, เดอะ คอลเลคชั่น และร้านจำหน่ายเครื่องประดับจากทุกทิศทั่วไทย 





ภัตตาคารฟิลิกซ์ (Felix) ฮ่องกง 


ภัตตาคารแห่งนี้ตั้งอยู่บนชั้น 28 ของโรงแรมเพนนินซูล่า ออกแบบโดยดีไซเนอร์ชาวฝรั่งเศสที่มีชื่อว่า “ฟิลิปป์ แพทริค สตาร์ค” ด้วยเหตุที่มีผนังกระจกสูงจากพื้นจรดเพดานจึงให้มุมมองที่สวยงามของตึกระฟ้า (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลากลางคืนที่จะมองเห็นการแสดงเลเซอร์และแสงสีในช่วงเวลา 20.00 น.) อ่าววิคตอเรีย และแหล่งช้อปปิ้งย่านเกาลูน โดยมีอาหารหรูสไตล์คอนเทมโพรารี่ไว้คอยบริการ 




ภัตตาคารอีเกิ้ล’ส อาย (Eagle’s Eye) รัฐบริติช โคลัมเบีย ประเทศแคนาดา 



ภัตตาคารแห่งนี้ตั้งอยู่ภายในรีสอร์ทที่มี ชื่อว่า “คิกกิ้ง ฮอร์ส” ในเมืองโกลเด้น และเนื่องจากอยู่บนภูเขาที่มีความสูงถึง 7,700 ฟุต (2,347 ม.) เหนือระดับน้ำทะเล จึงมองเห็นยอดเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะมากกว่า 1,000 ยอดในบริเวณเทือกเขาเพอร์เซลล์, เซลเคิร์ก และเทือกเขาร็อกกี้ 

ที่นี่จะเสิร์ฟอาหารกลิ่นอายฝรั่งเศส และไวน์ที่ผลิตในรัฐบริติช โคลัมเบีย หากต้องการรับประทานอาหารเย็นท่ามกลางบรรยากาศสุดโรแมนติก ก็ต้องเลือกจองโต๊ะข้างเตาผิงเบอร์ 24, 29, 36, และ 37 โดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้ผลิและปลายเดือนกันยายน เพราะจะได้เห็นวิวที่สวยงามของหิมะสลับกับสีเขียวชอุ่มของใบไม้ในแบบพาโนรามา ซึ่งภัตตาคารดังกล่าวจะเปิดให้บริการระหว่างเดือนมิถุนายน-ตุลาคม และเดือนธันวาคม-เทศกาลอีสเตอร์ (เดือนเมษายน) เท่านั้น 





ภัตตาคารโกรอนโกโร่ เครเตอร์ ลอด์จ (Ngorongoro Crater Lodge) ประเทศแทนซาเนีย 



ภัตตาคารแห่งนี้ตั้งอยู่ภายในโรงแรม “โกรอนโกโร่ เครเตอร์ ลอด์จ” บนปากหลุมปล่องภูเขาไฟ (ชนิดที่ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์และไม่ถูกน้ำท่วมขังจนกลายเป็นทะเลสาปปล่องภูเขาไฟ) ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก (มีเนื้อที่ 8,000 ตร.ก.ม.) 

บริเวณดังกล่าวเป็นเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ ป่าที่ถูกขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก และยังเป็นบ้านของสัตว์ป่าขนาดใหญ่มากกว่า 25,000 ตัว แขกที่มานั่งรับประทานอาหารสไตล์แอฟริกันภายในภัตตาคารแห่งนี้ จึงไม่เพียงมองเห็นวิวทิวทัศน์ของทุ่งหญ้าที่กว้างไกลสุดสายตา แต่ยังมองเห็นสัตว์ป่านานาชนิดออกมาหากินอย่างเป็นอิสระภายในทุ่งหญ้าดังกล่าวอีกด้วย 


ภัตตาคารเซียร์ร่า มาร์ (Sierra Mar) ในแถบบิ๊ก เซอร์ มลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา 



ภัตตาคารแห่งนี้ตั้งอยู่ริมหน้าผาสูง 1,200 ฟุต (366 ม.) ภายในโรงแรม “โพสต์ รานช์ อินน์” จึงให้มุมมองที่สวยงามของมหาสมุทรแฟซิฟิก ผาหิน และภูเขาเหนือชายฝั่งในแถบบิ๊กเซอร์ นอกจากภัตตาคารแห่งนี้จะมีผนังและหลังคากระจกใสที่ให้ความรู้สึกโล่งโปร่ง แล้ว ภายในยังเล่นระดับเพื่อให้แขกผู้มาเยือนได้มองเห็นวิวสวยๆ ทางด้านนอก ถึงแม้จะไม่ได้นั่งติดผนังกระกระจกก็ตาม 

ที่นี่เปิดให้บริการทั้งอาหารเช้า (8.00-10.30 น.) กลางวัน (12.00-15.00 น. – หลังจากนั้นจะเสิร์ฟเฉพาะอาหารว่าง ซุป สลัด) และอาหารเย็น (17.30-21.00 น.) โดยอาหารที่เสิร์ฟจะผสมผสานระหว่างสไตล์เอเชีย ฝรั่งเศส และเมดิเตอร์เรเนียน (หากไม่ใช่แขกของทางโรงแรมแต่ต้องการเข้าไปทานอาหารมื้อเย็นจะต้องจองโต๊ะล่วงหน้า) 




ภัตตาคารแอล โทวาร์ ไดนิ่งรูม (El Tovar Dining Room) ในแกรนด์ แคนยอน รัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกา 


ภัตตาคารแห่งนี้ตั้งอยู่ภายในโรงแรม “แอล โทวาร์” ซึ่งอยู่ห่างจากหน้าผาทางด้านทิศใต้ของแกรนด์ แคนยอนราว 20 หลา (18 ม.) จึงให้มุมมองที่สวยงาม ของหินผาหลากสีและหุบเหวอายุราว 2 พันล้านปี ที่นี่เสิร์ฟอาหารทั้งในสไตล์คอนเทมโพรารี่และอเมริกันขนานแท้ โดยจะเปิดบริการตลอดทั้งปี แต่โต๊ะติดผนังกระจกมักไม่ค่อยว่าง จึงต้องจองล่วงหน้าแต่เนิ่นๆ (แขกของโรงแรมสามารถจองโต๊ะพร้อมห้องพักล่วงหน้าได้นาน 6 เดือน แต่ถ้าไม่ใช่แขกของโรงแรมสามารถจองโต๊ะล่วงหน้าได้นานสุด 30 วัน) 




ภัตตาคารลา เชฟเวอร์ ดอร์ (La Chèvre d’Or) ที่หมู่บ้านเอเซ่ ประเทศฝรั่งเศส 


ภัตตาคารแห่งนี้อยู่บนภูเขาสูงเหนือทะเล เมดิเตอร์เรเนียนภายในโรงแรม “ชาโต้ เดอ ลา เชฟเวอร์ ดอร์” ซึ่งตั้งอยู่ในหมู่บ้าน “เอเซ่” (Eze – หรือเอซ) จึงให้มุมมองที่สวยงามของย่าน “เฟรนช์ ริเวียร่า” ตลอดจน ภูเขา น้ำทะเลสีคราม และบรรดาเรือยอชต์หรูที่แล่นผ่านไปมา 

ที่นี่จะเสิร์ฟอาหารฝรั่งเศสโดยพ่อครัว มิชลินระดับสองดาว โดยช่วงเวลาดีที่สุดในการมานั่งรับประทานอาหารพร้อมชมวิวสวยๆ ที่ภัตตาคารแห่งนี้ คือ ยามเย็นในช่วงฤดูร้อน แต่ถ้าคิดจะมานั่งทอดอารมณ์ชมวิวในคืนวันหยุดสุดสัปดาห์ช่วงหน้าร้อนแล้วล่ะ ก็จะต้องจองล่วงหน้านาน 1 เดือน 

การแต่งตัวให้เข้ากับรูปร่างของตัวเอง


มาแต่งตัวให้สวยเข้ากับรูปร่างของตัวเองกัน
มาแต่งตัวสวยให้เข้ากับรูปร่างของตัวเองกัน

มาแต่งตัวสวยให้เข้ากับรูปร่างของตัวเองกัน

          ขวัญว่าผู้หญิงกับการเป็นของคู่กันนะ แต่สาวๆ บางคนก็อาจจะไม่มั่นใจว่า เราใส่ชุดนี้จะสวยไหมอ่ะ มันจะเข้ากับเราไหม จะซื้อก็กลัวใส่แล้วจะไม่สวย =,= วันนี้ Sanook! Women เลยมีเทคนิคการเลือกใส่เสื้อผ้าให้เข้ากับรูปร่างของสาวๆ มาฝากกันค่ะ
สาวช่วงคอยาว
          สาวๆ ที่มีช่วงของคอที่ยาว อย่าเลือกใส่เสื้อคอ V นะ เพราะจะยิ่งทำให้ดูคอยาวไปอีก ควรเลือกใส่เสื้อคอเต่า หรือเลือกใส่สร้อยคอ ผ้าพันคอ เพื่อที่จะช่วยอำพรางความยาวของลำคอค่ะ

สาวช่วงคออวบ
          สำหรับสาวที่มีช่วงคออวบ ไม่ควรใส่เสื้อติดกับลำคอ คอเต่าหรือติดกระดุมเสื้อทุกเม็ด ควรจะเลือกใส่เสื้อคอกว้าง หรือเสื้อคอ V จะช่วยสร้างมิติบริเวณคอให้ดูดีขึ้นได้ค่ะ

สาวคอสั้น
          ควรเลือกใส่เสื้อคอ V หรือคอเว้าลึกเป็นทรง V แหลมหรือเสื้อปาดไหล ไหล่เฉียง พยายามเลี่ยงการใส่สร้อยคอหรือผ้าพันคอนะ   
  
สาวหน้าอกใหญ่
          สาวๆ ที่มีหน้าอกใหญ่ควรเลือกใส่เสื้อคอ V แต่อย่าเลือกใส่เสื้อที่มีระบายหรือลูกเล่นบริเวณหน้าอก เพราะจะยิ่งเน้นขนาดหน้าอกให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
สาวหน้าอกเล็ก
          สำหรับสาวๆ ที่มีหน้าอกหน้าใจเล็ก ควรที่จะเลือกใส่เสื้อคอกว้างหรือเสื้อคอกลม ใส่คอ V ได้แต่อย่า V ลึกจนเกินไป ควรหลีกเลี่ยงเสื้อที่เว้าคอลึกๆ เพราะจะยิ่งทำให้ดูหน้าอกเล็กค่ะ
สาวช่วงเอวสั้น
          ไม่ควรเลือกใส่เสื้อตัวเล็กๆ สั้นๆ หรือเอวลอย เพราะจะยิ่งทำให้ดูตัวสั้นๆ ควรเลือกเสื้อผ้าที่มีความยาวเลยลงสะดื้อมาเล็กน้อยจะดูสวยกว่าค่ะ
สาวช่วงเอวยาว
          สำหรับสาวๆ ที่มีช่วงลำตัวยาวนั้น เหมาะอย่างมากกับการเลือกใส่เสื้อเอวลอย เพราะจะยิ่งทำให้ดูหุ่นดี สวย เข้ากับรูปร่างค่ะ
          แต่จริงๆ แล้ว จะหุ่นแบบไหนก็แล้วแต่ขอแค่สาวๆ มีความมั่นใจ เลือกแต่งตัวให้เข้ากับบุคลิกรูปร่างของตัวเอง รับรอง สวย เป๊ะ แน่นอนค่ะ

วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

8วิธีการเขียนขอบตาวิ้งๆ

ที่เขียนขอบตาวิ้ง ๆ
          
          8 ที่เขียนขอบตาวิ้ง ๆ ที่ใช้แล้วตาสวยบริ๊งสไตล์สาวเกาหลี แต่ละตัวคัดมาแล้วว่าดีงามจริง ๆ จ้า 

          ไม่ว่ายังไงการแต่งตาสไตล์สาวเกาหลีแบบเพิ่มความวิ้ง ๆ ให้ดวงตาก็ยังไม่เคยเอาท์ไปจากเทรนด์สักที แถมสาวไทยบ้านเราหลายคนก็ดูจะปลื้มปริ่มกับเทรนด์นี้มาก เพราะเมื่อเพิ่มความวิ้งให้ดวงตาแล้ว ก็ทำให้ได้ลุคแบ๊ว ๆ ดอลลี่ ๆ ขึ้นมาเลย ซึ่งไอเทมพระเอกของลุคนี้ก็คงหนีไม่พ้นที่เขียนขอบตาวิ้ง ๆ นี่แหละจ้า หากใครกำลังตามหาไอเทมคู่ใจนี้มาไว้ติดตัวสักแท่งละก็ วันนี้กระปุกดอทคอมคัด 8 ที่เขียนขอบตาวิ้ง ๆ มาฝากแล้วค่ะ แต่ละตัวเด็ดจริง ใช้แล้วตาวิ้งกระจายเลยล่ะ !

ที่เขียนขอบตาวิ้ง ๆ


 Clio Gelpresso Waterproof Pencil Gel Liner

          ก็ลุคแต่งหน้าแบบเกาหลี ก็ขอเริ่มต้นด้วยผลิตภัณฑ์จากแดนกิมจิกันก่อนเลยแล้วกัน สำหรับที่เขียนขอบตารุ่นนี้บอกเลยว่าเป็นไอเทมขวัญใจของใคร ๆ หลายคนเลยล่ะ เพราะเป็นเนื้อเจลเขียนง่าย มีให้เลือกหลายสี แถมความวิ้งก็ไม่เยอะไปไม่น้อยไปแบบกำลังพอดี เขียนนิดเดียวก็สวยแล้ว ราคาอยู่ที่ประมาณ 440 บาท
ที่เขียนขอบตาวิ้ง ๆ

 Bisous Bisous Summer Circus Super Tattoo Pear Eyeliner 

          ใครชอบอายไลเนอร์แบบดินสอเนื้อนุ่ม รับรองต้องถูกใจเจ้าตัวนี้แน่ ด้วยความที่เป็นดินสออายไลเนอร์เนื้อครีม แถมยังไม่ต้องลำบากเหลาเพราะเป็นแบบหมุนขึ้นมาแล้วใช้ได้เลย วิ้งน่ารักกำลังดีแบบนี้สายแบ๊วพลาดไม่ได้จ้า ราคาอยู่ที่ 255 บาท



 Mille Superstar Glittering Gel Liner Waterproof

          ถ้าอยากได้ที่เขียนขอบตาสีขาววิ้ง ๆ ที่ติดทนนาน เหมาะสำหรับเขียนไปออกงานปาร์ตี้แบบไม่หลุดเลอะ ขอแนะนำตัวนี้เลยค่ะ เพราะตัวนี้เนื้อนิ่มเขียนง่าย วิ้งกำลังสวย ราคาแค่เพียง 255 บาท แต่คุณภาพนี่คับแท่งเลยล่ะ
ที่เขียนขอบตาวิ้ง ๆ


 Maybelline Big Eyes Lovebag Liner 

          มาถึงที่เขียนขอบตาวิ้ง ๆ แบบลิควิดกันบ้างค่ะ สำหรับใครที่เคยใช้ดินสอแล้วเจ็บตาจนเข็ด ก็ลองใช้แบบนี้ดูแล้วกันเนอะ แค่สะบัดปลายพู่กันไปที่ขอบตาก็จะได้ความวิ้งระยิบระยับแบบสุด ๆ แล้ว ตัวนี้มีวิ้งสองสีให้เลือก ชอบสีไหนก็จัดสีนั้นเลยในราคา 249 บาทค่ะ

ที่เขียนขอบตาวิ้ง ๆ

 Cosluxe Trust Me Wink

          เรียกได้ว่าเป็นที่เขียนขอบตาวิ้ง ๆ ตัวฮอตเลยค่ะ ก็เพราะเนื้อดินสอนิ่มมาก เขียนง่ายสุด ๆ แถมยังติดทนนานไม่ทำให้กลิตเตอร์หล่นร่วงมากระหว่างวันแน่นอน แจ่ม ๆ แบบนี้ราคาอยู่ที่ 239 บาทเท่านั้น
ที่เขียนขอบตาวิ้ง ๆ


 NYX Slide On Pencil

          ถ้าหลวมตัวจะซื้อที่เขียนขอบตารุ่นนี้แล้ว เชื่อเถอะว่าคุณไม่ได้ติดไม้ติดมือกลับบ้านสีเดียวหรอก เพราะสีสันเขามีให้เลือกเยอะมาก แต่ละสีก็วิ้งสวยงามตามท้องเรื่องจริง ๆ จ้า ราคาอยู่ที่ประมาณ 200 บาท

ที่เขียนขอบตาวิ้ง ๆ


 Etude House Tear Eye Liner 

          เชื่อว่าสาว ๆ ที่ชอบแต่งหน้าคงรู้จักไอเทมตัวนี้กันทุกคนแหละ เพราะที่เขียนขอบตาวิ้ง ๆ ตัวนี้เป็นตัวที่ออกมาเป็นรุ่นแรก ๆ แถมสาวเกาหลีก็ชอบในความวิ้งน่ารักของเจ้าตัวนี้มาก แค่ปาดปุ๊บดวงตาก็วิ้งนานทั้งวันทั้งคืนปั๊บเลย ราคาอยู่ที่ประมาณ 180-200 บาท (แล้วแต่ร้าน)
ที่เขียนขอบตาวิ้ง ๆ


 In2It Pearl Highlight Eyeliner Waterproof

          นี่แหละของถูกและดีที่มีอยู่จริงในโลก เพราะที่เขียนขอบตาแท่งนี้ราคาย่อมเยาแค่เพียง 149 บาท แต่คุณภาพก็สู้ของแพงได้เลยล่ะ แถมยังใช้ง่ายเพราะเป็นแบบแท่งหมุน จึงไม่ต้องเสียเวลามานั่งเหลาก่อนใช้ ที่สำคัญสีสันและวิ้งก็สวยดูแพงอีกด้วยค่ะ

          ใครอยากเสกให้ดวงตาสวยบริ๊งค์แบบสาวเกาหลี ก็ลองไปเลือกมาไว้ในกรุสักแท่งสิคะ รับรองว่าได้ใช้คุ้มแน่ เพราะจะเขียนตาตอนกลางวันเวลาไปทำงานก็ยังได้ หรือจะไปเขียนไปซิ่งตอนกลางคืนก็จี๊ดเว่อร์ค่ะ ^_^

วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

พระสุริโยทัย

พระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระสุริโยทัย บริเวณทุ่งมะขามหย่อง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา




พระเจดีย์ศรีสุริโยทัย
พระเจดีย์ศรีสุริโยทัย
สมเด็จพระสุริโยทัย พระวีรกษัตรีแห่งกรุงศรีอยุธยา

การศึกษาประวัติศาสตร์ชาติไทยนั้น เคยมีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า เพราะเหตุใดจึงมีเหตุการณ์ทำศึกสงครามอยู่มาก และในการทำศึกสู้รบนั้น ก็ดูเหมือนจะมีชาติพม่าเป็นคู่กรณี ที่ขับเคี่ยวต่อสู้กันมาอย่างยาวนานหลายร้อยปี

ความดังกล่าวอาจอธิบายได้ว่า เพราะในอดีตนั้น ยังเป็นช่วงระยะเวลาสร้างบ้านสร้างเมือง ซึ่งแต่ละฝ่ายต่างต้องการผู้คนไว้เป็นกำลังส่งเสริมแสนยานุภาพของแว่นแคว้น รวมทั้งยังมีคติความเชื่อในเรื่องของความเป็นพระมหาจักรพรรดิราช คือ ความเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่กว่ากษัตริย์พระองค์อื่นใด ด้วยการทำศึกสงคราม เพื่อแผ่พระบรมเดชานุภาพ จึงเป็นจารีตที่ปฏิบัติกันสืบมา ตราบจนกระทั่งลัทธิล่าอาณานิคมจากตะวันตกแพร่ขยายเข้ามา ลักษณะความสัมพันธ์ของบรรดารัฐใกล้เคียงกับไทยจึงเปลี่ยนแปลงไป และการเผชิญหน้าในรูปของการทำศึกสงครามต่อกัน ก็จบสิ้นลงไปด้วย

สงครามระหว่างไทยกับพม่าในประวัติศาสตร์นั้น มีเหตุการณ์เรื่องราวมากมาย จนสามารถบันทึกเป็นเรื่องเป็นราวได้เฉพาะ ดังที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทย ทรงพระนิพนธ์ไว้เป็น "พงศาวดารไทยรบพม่า" ซึ่งในเหตุการณ์สู้รบต่อกันนี้ ล้วนเป็นตำนานแห่งการต่อสู้ การเสียสละของบรรพชนคนแล้วคนเล่า ฝากไว้ให้ลูกหลานไทยได้รับรู้ และจดจำไปชั่วกาลนาน

ใน "พงศาวดารไทยรบพม่า" จำนวน ๔๔ ครั้งนี้ ได้มีบันทึกสงครามสำคัญครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี เรียกว่า "สงครามครั้งที่ ๒ คราวสมเด็จพระสุริโยทัยขาดคอช้าง ปีวอก พุทธศักราช ๒๐๙๑" ได้จารึกพระวีรกรรมแห่งสมเด็จพระมเหสีพระองค์หนึ่ง ทรงมีพระนามว่า สมเด็จพระสุริโยทัย ได้พลีพระชนม์ชีพปกป้องพระราชสวามีอย่างองอาจกล้าหาญ จนทรงได้รับการสดุดีพระเกียรติ ให้ทรงเป็นพระวีรกษัตรีในประวัติศาสตร์ชาติไทยพระองค์หนึ่ง และเป็นเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น

ความเป็นมาของสงครามระหว่างไทยกับพม่าในครั้งนั้น มีเหตุการณ์สืบเนื่องมาจากพระเจ้าหงสาวดีตะเบงชะเวตี้ ได้รู้ข่าวกรุงศรีอยุธยาเกิดเหตุวุ่นวาย เมื่อสิ้นรัชกาลสมเด็จพระไชยราชาธิราช เกิดการแย่งชิงราชสมบัติระหว่างพระแก้วฟ้า พระราชโอรส และขุนวรวงศาธิราช และอัญเชิญพระราชอนุชาต่างพระชนนีในสมเด็จพระไชยราชาธิราชขึ้นเสวยราชสมบัติ ทรงพระนามว่า "สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ"

เมื่อกองทัพพระเจ้ากรุงหงสาวดียกมาถึงกรุงศรีอยุธยาแล้ว กองทัพกรุงศรีอยุธยาได้ยกออกไป ดังมีความบันทึกใน พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ว่า

"...ครั้นรุ่งขึ้น ณ วันอาทิตย์ ขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๔ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราชเจ้า จะเสด็จยกพยุหโยธาทวยหาญออกไปดูกำลังข้าศึก ณ ทุ่งภูเขาทอง จึงทรงเครื่องราชอลังการยุทธ เสด็จทรงช้างต้นพลายแก้วจักรพรรดิ สูงหกศอกคืบห้านิ้วเป็นพระคชาธาร ประดับคชาลังการาภรณ์เครื่องมั่นมีกลางช้างและควาญ พระสุริโยทัยผู้เป็นเอกอัครราชมเหสี ประดับพระองค์เป็นพระมหาอุปราช ทรงเครื่องสำหรับราชณรงค์ เสด็จทรงช้างพลายทรงสุริยกษัตริย์ สูงหกศอกเป็นคชาธารประดับคชาภรณ์ เครื่องมั่นเสร็จมีกลางช้างและควาญ พระราเมศวรทรงเครื่องสิริราชปิลันะนาวราภรณ์สำหรับพิชัยยุทธสงครามเสร็จ เสด็จทรงช้างต้นพลายมงคลจักรพาฬ สูงห้าศอกคืบแปดนิ้ว ประดับคชาภรณ์เครื่องมั่น มีควาญและกลางช้าง พระมหินทราธิราช ทรงราชวิภูษนา-ลังการาภรณ์ สำหรับพระมหาพิชัยยุทธ เสด็จทรงช้างต้นพลายพิมานจักรพรรดิ สูงห้าศอกคืบแปดนิ้ว ประดับกุญชรอลงกต เครื่องมั่นมีกลางช้างและควาญ ครั้นได้มหาศุภวารฤกษ์ราชดฤถี พระโหราลั่นฆ้องชัยประโคมอุโฆษแตรสังข์อึงอินทเภรี สมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราชเจ้าก็ยาตราพระคชาธารข้ามฟากไป พระอัครมเหสีและพระเจ้าลูกเธอทั้งสองพระองค์ โดยเสด็จเหล่าคชพยุหดั้งกันแทรกแซงค่ายค้ำพังคาโดดแล่น มีทหารประจำขี่กรกุมปืนปลายขอประจำคอทุกตัวสาร ควาญประจำท้ายล้อมเป็นกรรกงโดยขนัดแล้วถึงหมู่พยุหแสนยากร โยธาหาญเดินเท้าถือดาบดั้งเสโลโตมรหอกใหญ่หอกคู่ ธงทวนธนูปืนนกสับคับคั่งซ้ายขวาหน้าหลัง โดยกระบวนคชพยุหสงคราม เสียงเท้าพลและเท้าช้างสะเทื้อนดังพสุธาจะทรุด สมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราชเจ้า เสด็จยืนพระคชาธารประมวลพลและคชพยุหโดยกระบวนตั้งอยู่ ณ โคกพระยา..." 

กองทัพฝ่ายกรุงศรีอยุธยาของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ซึ่งมีสมเด็จพระสุริโยทัย พระอัครมเหสี และสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอทั้งสองพระองค์ เสด็จมาในทัพด้วยนี้ ได้ปะทะกับกองทัพพระเจ้าแปร ซึ่งเป็นทัพหน้าของพระเจ้ากรุงหงสาวดี ได้ทรงเข้าชนช้างกัน ความในพงศาวดารไทยรบพม่าพรรณนาไว้ว่า "...ช้างพระที่นั่งสมเด็จพระมหาจักรพรรดิเสียที สมเด็จพระสุริโยทัยเกรงพระราชสวามีจะเป็นอันตราย จึงขับช้างทรงเข้าขวางช้างข้าศึกไว้ พระเจ้าแปรได้ทีฟัน สมเด็จพระสุริโยทัย ด้วยสำคัญว่า เป็นชาย สิ้นพระชนม์ซบลงกับคอช้าง..."

ความตอนนี้นับเป็นเหตุการณ์สำคัญ ที่แสดงถึงน้ำพระราชหฤทัยที่กล้าหาญเด็ดเดี่ยว โดยยอมถวายพระชนม์ชีพ เพื่อป้องกันพระราชสวามีจากอันตราย

การสู้รบหลังจากสมเด็จพระสุริโยทัยสิ้นพระชนม์แล้ว พระราเมศวรกับพระมหินทราธิราชพระราชโอรส ทรงขับช้างเข้าต่อสู้กับพระเจ้าแปร และกันพระศพสมเด็จพระราชชนนีกลับเข้าพระนคร โปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญประดิษฐานไว้ในสวนหลวงเป็นการชั่วคราว จนเมื่อกองทัพพระเจ้าหงสาวดีได้ข่าวว่า กองทัพหัวเมืองฝ่ายเหนือของไทย อันมีสมเด็จพระมหาธรรมราชา นำกำลังยกลงมาช่วยกรุงศรีอยุธยา ประจวบกับเสบียงอาหารเริ่มขาดแคลนลง จึงเลิกทัพกลับไปกรุงหงสาวดี

ส่วนการพระศพสมเด็จพระสุริโยทัยนั้น เมื่อเสร็จศึกสงครามแล้ว โปรดให้ตั้งการพระราชพิธีพระราชทานเพลิง ณ สวนหลวง และให้สถาปนาที่พระราชทานเพลิงเป็นพระอาราม เพื่ออุทิศพระราชกุศล พระราชทานแด่สมเด็จพระอัครมเหสี ประกอบด้วยพระเจดีย์ พระวิหาร แล้วพระราชทานนามพระอารามอันเป็นพระราชานุสรณ์แห่งสมเด็จพระสุริโยทัยแห่งนี้ว่า วัดสบสวรรค์
พระเกียรติคุณแห่งความเสียสละอันยิ่งใหญ่ ในสมเด็จพระสุริโยทัยครั้งนั้นคงเป็นเหตุการณ์ ที่กล่าวขวัญ และสรรเสริญเลื่องลือไปทั่วแว่นแคว้นต่างๆ เพราะปรากฏเรื่องราวในประวัติศาสตร์ต่อมาว่า พระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตได้มีพระราชสาส์นมาถวายแด่สมเด็จพระมหาจักรพรรดิความว่า

"...ข้าพระองค์ผู้ผ่านพิภพกรุงศรีสัตนาคนหุต ขอถวายอภิวาทวันทนามายังสมเด็จพระปิตุราธิราช ผู้ผ่านพิภพกรุงเทพทวาราวดีศรีอยุธยาฯ... ข้าพระองค์ยังไป่มีเอกอัครราชกัลยาณี ที่จะสืบศรีสุริยวงศ์ ในกรุงศรีสัตนาคนหุตต่อไปมิได้ ข้าพระองค์ขอพระราชทานพระราชธิดาอันทรงพระนามพระเทพกษัตรี ไปเป็นปิ่นศรีสุรางคนิกรกัญญา ในมหานคเรศปราจีนทิศ เป็นทางพระราชสัมพันธไมตรีสุวรรณปัฐพีแผ่นเดียวกันชั่วกาลปวสาน..."

ซึ่งการที่พระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุต มีพระราชสาส์นมาทูลขอพระเทพกษัตรี พระราชธิดาในครั้งนั้น กล่าวกันว่า เป็นเพราะทรงสดับเรื่องราวแห่งพระวีรกรรมในสมเด็จพระสุริโยทัย พระราชชนนี ก็ปรารถนาที่จะได้หน่อเนื้อเชื้อไข แห่งพระวีรกษัตรีไปเป็นพระอัครมเหสี ดังมีความในพระราชพงศาวดารบันทึกไว้ต่อมาว่า ในครั้งนั้นพระเทพกษัตรีกำลังทรงพระประชวรอยู่ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิจึงพระราชทานพระแก้วฟ้าพระราชธิดาไปแทน แต่พระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตได้ขอถวายพระแก้วฟ้าคืน โดยทรงมีเหตุผลว่า

"...เดิมเราจำนงขอพระเทพกษัตรี ซึ่งเป็นพระราชธิดาพระสุริโยทัย อันเสียพระชนม์แทนพระราชสามีกับคอช้าง เป็นตระกูลวงศ์กตัญญูอันประเสริฐ ตรัสแล้วก็แต่งให้พระยาแสน พระยานคร พระยาทิพมนตรี เป็นทูตานุทูตให้มาส่งพระแก้วฟ้าราชบุตรีคืนยังกรุงพระนครศรีอยุธยา..."

การขอพระราชทานพระเทพกษัตรี พระราชธิดาในสมเด็จพระสุริโยทัยครั้งนี้ ปรากฏความต่อมาว่า เมื่อพระราชธิดาทรงหายจากอาการพระประชวรแล้ว ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเชิญเสด็จไปยังกรุงศรีสัตนาคนหุต แต่พระเจ้าหงสาวดีได้ให้กองทัพคุมกำลังมาสกัด และอัญเชิญพระเทพกษัตรีไปยังกรุงหงสาวดีเสียก่อน

พระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุต จึงมิได้พระเทพกษัตรีพระราชธิดาสมเด็จพระสุริโยทัย ตามที่ทรงมีพระราชประสงค์ แต่ความตอนนี้ก็เป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า พระเกียรติคุณแห่งความกล้าหาญในสมเด็จพระสุริโยทัยนั้น เป็นที่เลื่องลือ และกล่าวขวัญถึงด้วยความยกย่องไปในแว่นแคว้นใกล้ไกล

สมเด็จพระสุริโยทัยพระองค์นี้ก็คือ สมเด็จพระอัยกีในมหาราชที่สำคัญพระองค์หนึ่งของไทยคือ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช นั่นเอง

พระราชานุสรณ์แห่งสมเด็จพระสุริโยทัย 

เรื่องราวอันเป็นวีรกรรมในสมเด็จพระสุริโยทัย นอกจากจะมีกล่าวไว้ในบันทึกพระราชพงศาวดาร เป็นที่รับรู้ และเล่าขานสืบกันมาแล้ว ยังมีพระราชานุสรณ์ที่ปรากฏเป็นสถานที่ และปูชนียสถาน ซึ่งเกี่ยวเนื่องในพระองค์ ยังปรากฏมาจนทุกวันนี้ นั่นคือ พระเจดีย์ศรีสุริโยทัย ณ วัดสบสวรรค์ อันเป็นที่ถวายพระเพลิงพระศพ ณ กรุงศรีอยุธยานั่นเอง

ความเป็นมาของพระราชานุสาวรีย์แห่งนี้มี ความว่า เมื่อปลายรัชกาลสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ หลังจากทรงมอบราชสมบัติให้สมเด็จพระมหิน- ทราธิราช พระราชโอรสแล้ว ก็ได้เสด็จมาประทับ ณ บริเวณสวนหลวง อันมีพระอารามสบสวรรค์ พระอนุสรณ์แห่งพระอัครมเหสีตั้งอยู่ ประดุจว่า ได้ประทับอยู่ใกล้พระมเหสีที่ทรงอาลัยยิ่ง

บริเวณนี้ต่อมาได้เป็นสถานที่ตั้งของพระราชวังหลังของพระนครศรีอยุธยาด้วย ตราบจนกระทั่งกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่า ในพุทธศักราช ๒๓๑๐ แล้วก็คงจะถูกทิ้งร้างเรื่อยมา จนถึงปลายรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้มีการตั้งกรมทหารมณฑลกรุงเก่าขึ้น ในบริเวณที่เคยเป็นสวนหลวง วังหลัง และวัดสบสวรรค์ โดยมิทราบว่า สถานที่นั้น มีความสำคัญยิ่งในประวัติศาสตร์ จนเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จะเสด็จมาทรงประกอบพระราชพิธีสังเวยอดีตมหาราช ณ กรุงเก่าพระนครศรีอยุธยา ในพุทธศักราช ๒๔๕๑ พระยาโบราณราชธานินทร์ ได้ศึกษาสอบค้นเกี่ยวกับสถานที่ตั้งสำคัญในกรุงศรีอยุธยาขึ้น ทูลเกล้าฯ ถวายเป็นหนังสือชื่อ "อธิบายแผนที่ พระนครศรีอยุธยา" ระบุสถานที่กรมทหารที่สร้างใหม่ว่า อยู่ตรงบริเวณที่เคยเป็นสวนหลวง วังหลัง และวัดสบสวรรค์

ตามหลักฐานที่พระยาโบราณราชธานินทร์ สอบค้นพบนี้ ต่อมาในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว "เหล่าเสนาข้าทูลละอองธุลีพระบาทราชบริพาร"จึงพร้อมใจกัน ขอพระบรมราชานุญาตสร้างอนุสาวรีย์เทิดพระเกียรติ จารึกข้อความสดุดีวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ของสมเด็จพระสุริโยทัยไว้ในบริเวณนั้น ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับพระเจดีย์ขนาดใหญ่ของวัดสบสวรรค์ที่ยังเหลืออยู่อีก ๑ องค์ พระเจดีย์องค์นี้เองที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงอธิบายไว้ในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาว่าเป็น "... พระเจดีย์ที่บรรจุพระอัฐิสมเด็จพระสุริโยทัย" และได้รับชื่อเรียกต่อมาว่า "พระเจดีย์ศรีสุริโยทัย"

พระเจดีย์ศรีสุริโยทัย จึงเป็นปูชนียสถานของวัดสบสวรรค์เพียงแห่งเดียวที่ยังคงปรากฏมาจนปัจจุบัน

การถือพระเจดีย์องค์นี้เป็นพระราชานุสาวรีย์แห่งสมเด็จพระสุริโยทัย ก็เป็นเหตุผลที่ยอมรับนับถือได้ โดยไม่ขัดเขินใจแก่ผู้ถวายราชสักการะ

พระเจดีย์ศรีสุริโยทัยได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์ให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์และงดงามสืบมา โดยเฉพาะในวโรกาสที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมพรรษา ๕ รอบ ทางการได้ปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ และยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระพุทธปฏิมากร ที่โปรดให้สร้างขึ้น ในวโรกาสมหามงคล ดังกล่าว มาประดิษฐานในพระเจดีย์ศรีสุริโยทัย เมื่อพุทธศักราช ๒๕๓๔ พระราชทานนามพระพุทธรูปองค์นี้ตามพระนามแห่งพระวีรกษัตรี และพระนามาภิไธยในพระองค์ว่า"พระพุทธสุริโยทัยสิริกิติทีฆายุมงคล" และได้ทรงมีพระราชดำริให้ก่อสร้าง พระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระสุริโยทัยประดิษฐาน ณ ตำบลอันเป็นสถาน ที่ทรงสละพระชนม์ชีพ ในการศึกกับพม่า ณ บริเวณทุ่งมะขามหย่องอีกแห่งหนึ่ง

นับว่าพระวีรกรรมแห่งสมเด็จพระสุริโยทัย สมควรได้รับการจารึกในประวัติศาสตร์ชาติไทยสืบไปอีกนานเท่านาน

ประติมากรรม

ประติมากรรม คือ
 ประติมากรรม (Sculpture) 
       เป็นผลงานศิลปะที่แสดงออกด้วยการสร้างรูปทรง 3 มิติ มีปริมาตร มีน้ำหนักและกินเนื้อที่ในอากาศ โดยการใช้วัสดุชนิดต่าง ๆ วัสดุที่ใช้สร้างสรรค์งานประติมากรรม จะเป็นตัวกำหนด วิธีการสร้างผลงาน ความงามของงานประติมากรรม เกิดจากการแสงและเงา ที่ เกิดขึ้นในผลงานการสร้างงานประติมากรรมทำได้ 4 วิธี คือ

     1. การปั้น (Casting) เป็นการสร้างรูปทรง 3 มิติ จากวัสดุ ทีเหนียว อ่อนตัว และยึดจับตัว กันได้ดี วัสดุที่นิยมนำมาใช้ปั้น ได้แก่ ดินเหนียว ดินน้ำมัน ปูน แป้ง ขี้ผึ้ง กระดาษ หรือ ขี้เลื่อยผสมกาว เป็นต้น
  
     2. การแกะสลัก (Carving) เป็นการสร้างรูปทรง 3 มิติ จากวัสดุที่ แข็ง เปราะ โดยอาศัย เครื่องมือ วัสดุที่นิยมนำมาแกะ ได้แก่ ไม้ หิน กระจก แก้ว ปูนปลาสเตอร์ เป็นต้น

    
3. การหล่อ (Molding) เป็นการสร้างรูปทราง 3 มิติ จากวัสดุที่หลอมตัวได้และกลับแข็ง ตัวได้ โดยอาศัยแม่พิมพ์ ซึ่งสามารถทำให้เกิดผลงานที่เหมือนกันทุกประการตั้งแต่ 2 ชิ้น ขึ้นไป วัสดุที่นิยมนำมาใช้หล่อ ได้แก่ โลหะ ปูน แป้ง แก้ว ขี้ผึ้ง ดิน เรซิ่น พลาสติก ฯลฯ รำมะนา (ชิต เหรียญประชา)
  
     4. การประกอบขึ้นรูป (Construction) เป็นการสร้างรูปทรง 3 มิติ โดยนำวัสดุต่าง ๆ มา ประกอบเข้าด้วยกัน และยึดติดกันด้วยวัสดุต่าง ๆ การเลือกวิธีการสร้างสรรค์งานประติมากรรม ขึ้นอยู่กับวัสดุที่ต้องการใช้ ประติมากรรม ไม่ว่าจะสร้างขึ้นโดยวิธีใด จะมีอยู่ 3 ลักษณะ คือ แบบนูนต่ำ แบบนูนสูง และแบบลอยตัว ผู้สร้างสรรค์งานประติมากรรม เรียกว่าประติมากร

ประเภทของงานประติมากรรม

1.ประติมากรรมแบบนูนต่ำ ( Bas Relief ) เป็นรูปที่เป็นนูนขึ้นมาจากพื้นหรือมีพื้นหลัง รองรับ มองเห็นได้ชัดเจนเพียงด้านเดียว คือด้านหน้า มีความสูงจากพื้นไม่ถึงครึ่งหนึ่งของรูป จริง ได้แก่รูปนูนแบบเหรียญ รูปนูนที่ใช้ประดับตกแต่งภาชนะ หรือประดับตกแต่งอาคารทาง สถาปัตยกรรม โบสถ์ วิหารต่างๆ พระเครื่องบางชนิด  


2.ประติมากรรมแบบนูนสูง ( High Relief ) เป็นรูปต่าง ๆ ในลักษณะเช่นเดียวกับแบบ นูนต่ำ แต่มีความสูงจากพื้นตั้งแต่ครึ่งหนึ่งของรูปจริงขึ้นไป ทำให้เห็นลวดลายที่ลึก ชัดเจน และ และเหมือนจริงมากกว่าแบบนูนต่ำและใช้งานแบบเดียวกับแบบนูนต่ำ


3.ประติมากรรมแบบลอยตัว ( Round Relief ) เป็นรูปต่าง ๆ ที่มองเห็นได้รอบด้านหรือ ตั้งแต่ 4 ด้านขึ้นไป ได้แก่ ภาชนะต่าง ๆ รูปเคารพต่าง ๆ พระพุทธรูป เทวรูป รูปตามคตินิยม รูปบุคคลสำคัญ รูปสัตว์ ฯลฯ
   
   

   

ประติมากรรม

 

ผลงานประติมากรรมนูนต่ำ (ภาพแกะสลัก) ที่ปราสาทนครวัด

ผลงานประติมากรรมนูนสูง ของโรแด็ง ประติมากรชาวฝรั่งเศส

ผลงานประติมากรรมลอยตัว ของโรแด็ง ประติมากรชาวฝรั่งเศส

             ประติมากรรม (อังกฤษsculpture) เป็นงานศิลปะที่แสดงออกด้วยการปั้น แกะสลัก หล่อ และการจัดองค์ประกอบความงามอื่น ลงบนสื่อต่างๆ เช่น ไม้ หิน โลหะ สัมฤทธิ์ ฯลฯ เพื่อให้เกิดรูปทรง 3 มิติ มีความลึกหรือนูนหนา สามารถสื่อถึงสิ่งต่างๆ สภาพสังคม วัฒนธรรม รวมถึงจิตใจของมนุษย์โดยชิ้นงาน ผ่านการสร้างของประติมากร ประติกรรมเป็นแขนงหนึ่งของทัศนศิลป์ ผู้ทำงานประติมากรรม มักเรียกว่า ประติมากร

งานประติมากรรมที่เกี่ยวกับศาสนามักสะกดให้แตกต่างออกไปว่า ปฏิมากรรม ผู้ที่สร้างงานปฏิมากรรม เรียกว่า ปฏิมากร
งานประติมากรรม แบ่งเป็น 3 ประเภท ตามมิติของกความลึก ได้แก่
  • ประติมากรรมนูนต่ำ
  • ประติมากรรมนูนสูง
  • ประติมากรรมลอยตัว
              นอกจากนี้ยังมีประติมากรรมโมบาย ที่แขวนลอยและเคลื่อนไหวได้ และประติมากรรมติดตั้งชั่วคราวกลางแจ้ง (Installation Art) ที่เรียกว่าศิลปะจัดวาง
              1. ประติมากรรมลอยตัว ( Round - Relief ) ได้แก่ ประติมากรรมที่ปั้น หล่อ หรือแกะสลักขึ้นเป็นรูปร่างลอยตัวมองได้รอบด้าน ไม่มีพื้นหลัง เช่น รูปประติมากรรมที่เป็นอนุสาวรีย์ประติมากรรมรูปเหมือน และพระพุทธรูปลอยตัวสมัยต่าง ๆ ตลอดไปจนถึงประติมากรรมสำหรับประดับตกแต่ง เป็นต้น ประติมากรรมประเภทลอยตัวของไทยที่รู้จักกันดี คือ พระพุทธรูปสมัยต่าง ๆ โดยเฉพาะพระพุทธรูปสมัยสุโขทัย ซึ่งถือว่าเป็นพระพุทธรูปคลาสิคของไทยนั้นนับเป็นประติมากรรมลอยตัวที่สมบูรณ์แบบที่สุดของไทย ประติมากรรมประเภทนี้สร้างมากในสมัยปัจจุบัน คือ อนุสาวรีย์และรูปเคารพหรือพระบรมรูปของเจ้านายชั้นสูง เช่น อนุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เชิงสะพานพุทธยอดฟ้า กรุงเทพ ฯ อนุสาวรีย์พระเจ้าตากสินมหาราช ที่วงเวียนใหญ่ กรุงเทพ ฯ อนุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่สวนลุมพินี กรุงเทพ ฯ อนุสาวรีย์ในจังหวัดต่าง ๆ มากมายเป็นต้น
              2. ประติมากรรมประเภทนูนสูง ( High – Relief ) ได้แก่ ประติมากรรมที่ไม่ลอยตัว มีพื้นหลัง ตัวประติมากรรมจะยื่นออกมาจากพื้นหลังค่อนข้างสูง แต่มีพื้นเป็นฉากหลังประกอบอยู่ ประติมากรรมประเภทนี้มักใช้ตกแต่งอาคารสถาปัตยกรรมพุทธศาสนาฐานอนุสาวรีย์อาคารทั่วไป เป็นประติมากรรมที่นิยมสร้างขึ้นเพื่อประดับตกแต่งอาคารสถาปัตยกรรมพุทธศาสนาแต่อดีต เช่น ประติมากรรมตกแต่งกระวิหารวัดไลย์ อำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี ซึ่งเป็นประติมากรรมปูนปั้นแบบนูนสูง กล่าวกันว่าเป็นศิลปะสมัยอู่ทอง สร้างขึ้นราวพุทธศวตวรรษที่ 17 โดยด้านหน้าวิหารปั้นเป็นเรื่องปฐมสมโพธิ์และทศชาติด้านหลังเป็นเรื่องการแบ่งพระบรมสารีริกธาตุ ประติมากรรมปูนปั้น พระพุทธรูปปางลีลาที่วัดเจดีย์เจ็ดแถว อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย ประติมากรรมปูนปั้นที่วิหารทรงม้า วัดมหาธาตุ จังหวัดนครศรีธรรมราชและประติมากรรมปูนปั้นประดับเจดีย์เจ็ดยอด วัดเจดีย์เจ็ดยอดอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นต้น ประติมากรรมประเภทนูนสูงที่ใช้สำหรับตกแต่งนี้ควรจะรวมถึง ประติมากรรมที่เป็นลวดลายประดับตกแต่งด้วย เช่น ประติมากรรมปูนปั้นประดับกระจกหน้าบ้าน พระอุโบสถและวิหารต่าง ๆ ตลอดจนถึงการประดับตกแต่งสถาปัตยกรรมในปัจจุบัน เช่น ประติมากรรมที่ปั้นเป็นเรื่องราวหรือเป็นลวดลายประดับตกแต่งอาคาร ตกแต่งฐานอนุสาวรีย์ ตกแต่งสะพาน และสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ เป็นต้น
              3. ประติมากรรมประเภทนูนต่ำ ( Bas – Relief ) ได้แก่ งานประติมากรรมที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับประติมากรรมประเภทนูนสูง แต่จะแบนหรือบางกว่าประติมากรรมประเภทนี้ ไม่ปรากฏมากนักในอดีต ซึ่งมักจะได้แก่ ประติมากรรมที่เป็นลวดลายประดับตกแต่ง เช่น แกะสลักด้วยไม้ หิน ปูนปั้น เป็นต้น ในปัจจุบันมีทำกันมากเพราะใช้เป็นงานประดับตกแต่งได้ดี ซึ่งอาจจะปั้นเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ตามวัตถุประสงค์ของสถาปัตยกรรมที่นำประติมากรรมนั้นไปประกอบนอกจากนี้ ประติมากรรมประเภทนี้ยังใช้ได้ดีในการปั้นเหรียญชนิดต่าง ๆ รวมถึงการปั้นเครื่องหมาย ตรา เครื่องหมายต่าง ๆ กันอย่างแพร่หลาย