วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

การทำงานกันเป็นทีม

 การทำงานเป็นทีมที่มีประสิทธิภาพ
การทำงานในสมัยปัจจุบัน หรือ การบริหารงานแนวใหม่นี้ จะทำแบบ  "ข้ามาคนเดียว"
หรือ " วันแมนโชว์ " หรือ " ศิลปินเดี่ยว " หรือ " อัศวินม้าขาว " หรือ ...... อื่่นๆ ดูจะเป็นไปได้ยาก
การทำงานเป็น  ทีม  " TEAM "
            ทีม " TEAM "  หมายถึง  บุคคลที่ทำงานร่วมกันอย่างประสานงานภายในกลุ่ม    กล่าวคือ 
                                 เป็นการรวมตัวของกลุ่มคนที่ต้องพึ่งพา อาศัยกันและกัน ในการทำงานเพื่อให้เกิดผลสำเร็จ
            ทีมงาน ( TEAM WORK ) หมายถึง  กลุ่มคนที่มีความสัมพันธ์กันค่อนข้างจะใกล้ชิด  และ คงความสัมพันธ์อยู่ค่อนข้าง
                                 จะถาวร ซึ่งประกอบด้วยหัวหน้างาน และ เพื่อนร่วมงาน โดยร่วมกันทำงาน   ให้บรรลุวัตถุประสงค์    
                                  และ เป้าหมายของทีมงาน
            " การทำงานเป็นทีม " เป็นความร่วมมือ ร่วมใจ ของบุคคล เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายร่วมกัน
            โดยมีองค์ประกอบ 3 ประการ ( 3 P ) ได้แก่
                         มีวัตถุประสงค์ ( Purpose )   ต้องชัดเจน
                         มีการจัดลำดับความสำคัญ ( Priority )  ในการทำงาน
                         มีผลการทำงาน ( Performance )

             ความแตกต่างระหว่างการทำงานแบบทีม และ กลุ่ม ( Team  vs  Groups )

             การทำงานแบบ กลุ่ม ( Work  Groups ) คือ การรวมกลุ่มที่มีกิจกรรมร่วม เพื่อ ใช้ข้อมูลร่วมกัน และ ช่วยในการ
                        ตัดสินใจให้แก่สมาชิกในกลุ่มที่จะทำงานภายในขอบข่ายที่รับผิดชอบของแต่ละคนนั้น 
                        ในการทำงานของกลุ่มไม่จำเป็นที่จะต้องส่งเสริมซึ่งกันและกัน ดังนั้นจึงไม่มีการเชื่อมโยง   
                        ทรัพยากรและใช้ร่วมกันอย่างมีประสิทธิผลในทางบวก
            " นั่นคือเราใส่การทำงานของแต่ละคนเข้าไปในผลงานที่ออกรวมกันแล้วจะได้เท่ากับที่ใส่เข้าไปหรืออาจน้อยกว่าก็ได้ "

              การทำงานแบบ ทีม (Work Teams ) เป็นการทำงานร่วมกันและส่งเสริมกันไปในทางบวก
             " ผลงานรวมของทีมที่ได้ออกมาแล้วจะมากกว่าผลงานรวมของแต่ละคนมารวมกัน "          

             ชนิดของ ทีมงาน
             การแบ่งทีมในองค์กรสามารถที่จะแบ่งประเภท  ตามวัตถุประสงค์ได้ 4 รูปแบบ คือ
                   1.  ทีม แก้ปัญหา ( Problem - Solving Teams )  ประกอบด้วยกลุ่มของพนักงาน และ ผู้บริหารซึ่งเข้ามารวมกลุ่ม
              ด้วยความสมัครใจ  และ ประชุมร่วมกันอย่างสม่ำเสมอ เพื่ออภิปรายหาวิธีการสำหรับการแก้ปัญหา  โดยทั่วไปทีม
              แก้ปัญหาทำหน้าที่เพียง ให้คำแนะนำเท่านั้น  แต่จะไม่มีอำนาจที่จะทำให้เกิดการกระทำ ตามคำแนะนำ  ตัวอย่างของ
              ทีมแก้ปัญหา  คือ ทีม QC ( Quality Cirdes )
                   2.  ทีม บริหารตนเอง  ( Self - Managed Teams )  หมายถึง  ทีมที่สมาชิกทุกคนล้วน รับผิดชอบต่อลักษณะ
              ทั้งหมดของการปฏิบัติงานอย่างแท้จริง  โดยเป็นอิสระจากฝ่ายบริหาร ซึ่งสมาชิกจะปฏิบัติงานโดยทั่วไป
            มีการแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบสำหรับงาน  ทีมบริหารตนเองสามารถที่จะเลือกสมาชิกผู้ร่วมทีม และ สามารถให้
            สมาชิกมีการตรวจสอบซึ่งกันและกัน
                   3.  ทีมที่ทำงานข้ามหน้าที่กัน  ( Cross - Function Teams ) เป็นการประสมประสานข้ามหน้าที่งาน ความสามารถ
                ในการดึงทรัพยากรบุคคลผนวกเข้าด้วยกัน จากหน้าที่ ทางธุรกิจที่แตกต่างกัน เพื่อสร้างสมรรถภาพในด้านความ
            แตกต่าง โดยเป็นการใช้กำลังแรงงานตั้งเป็นทีมข้ามหน้าที่ชั่วคราวซึ่งมีลักษณะคล้ายกันคณะกรรมการ(Committees)
            เข้ามาเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน , พัฒนาความคิดใหม่ๆ ร่วมมือกันแก้ปัญหา และทำโครงการที่ซับซ้อน ทีมข้ามหน้าที่
            ต้องการเวลามากเพื่อสมาชิกจะต้องเรียนรู้งานที่แตกต่าง ซับซ้อน และ ต้องใช้เวลาในการสร้างความไว้ใจ และ สร้าง
            การทำงานเป็นทีม เนื่องจาก  แต่ละคนมาจากภูมิหลังที่แตกต่างกัน
                   4.  ทีมเสมือนจริง  (Virtual Teams)  ลักษณะการทำงานจะเป็นทีม แต่สภาพการทำงานจะแยกกันอยู่ ดังนั้นจึง
            ต้องการระบบในการติดต่อสื่อสารระหว่างกันที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งอาศัยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ทีมจะมุ่งเน้นความ
            สำเร็จของงาน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของงานร่วมกัน แต่จะมีการแลกเปลี่ยนความสัมพันธ์ด้านความรู้สึกทางสังคมใน
            ระดับต่ำ
                    ข้อควรระวัง : การทำงานเป็นทีมไม่ได้เป็นคำตอบในการแก้ไขปัญหาเสมอไป เนื่องจากการทำงานเป็นทีม ต้องใช้
            เวลาและทรัพยากรมากกว่าการทำงานคนเดียว
                    ยกตัวอย่างเช่น
                      * ต้องเพิ่มการติดต่อสื่อสารมากขึ้น
                      * ต้องบริหารความขัดแย้งระหว่างกัน
                      * ต้องมีการจัดการประชุม
                      * ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม
                    อย่างไรก็ตามในบางกรณี ผลประโยชน์ที่ได้จากการทำงานเป็นทีมก็จะได้รับผลตอบแทนทึ่คุ้มค่า ดังนั้นผู้บริหาร
            ต้องทำการประเมินว่า งานใดควรทำคนเดียว และ งานประเภทใดที่่ต้องใช้ความร่วมมือของทีม

                    คำถาม 3 ข้อ  เพื่อดูว่าควรใช้วิธีการทำงานเป็นทีมในการทำงานหรือไม่
                        1. งานนั้นสามารถทำได้ดีหรือไม่ หากใช้คนมากกว่า หนึ่งคน
                        2. งานนั้นมีวัตถุประสงค์เพื่อทุกคนในกลุ่ม หรือ เพื่อคนใดคนหนึ่ง
                        3. การเลือกใช้ประเภทของทีมให้เหมาะสมกับสถานการณ์

                    การทำงานเป็นทีมที่่มีประสิทธิภาพ
                        1. วัตถุประสงค์ที่ชัดเจน และ เป้าหมายที่เห็นพ้องต้องกัน เพื่อใช้เป็นแนวทางการปฏิบัติงาน ที่ต้องการทำให้
             องค์กรบรรลุผลสำเร็จที่คาดหวังไว้ในการดำเนินงานให้เป็นไปตามภารกิจขององค์การ
                             * การกำหนดวัตถุประสงค์ที่ดี โดยผู้นำและสมาชิกภายในทีม มีส่วนร่วมในการกำหนดหน้าที่
             ความรับผิดชอบ  และวัตถุประสงค์ร่วมกัน ควรกำหนดจุดมุ่งหมายไว้ให้ชัดเจนที่ผลงานมากกว่าการกระทำ
                             * ประโยชน์ของการกำหนดวัตถุประสงค์ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติ ใช้เป็นเครื่องมือในการรวมพลัง
             ในการทำงาน และใช้เป็นเครื่องมือวัดความสำเร็จหรือความล้มเหลวในงาน
                             * คุณลักษณะของวัตถุประสงค์ที่ดี คือ เขียนเป็นลายลักษณ์อักษร เข้าใจง่าย สามารถปฏิบัติได้จริง ไม่ขัด
             ต่อข้อบังคับ และ นโยบายอื่นๆ ในหน่วยงาน
                        2. ความเปิดเผยต่อกัน และ การเผชิญหน้าเพื่อแก้ปัญหา เป็นสิ่่งสำคัญต่อการทำงานเป็นทีม ที่มีประสิทธิภาพ
             สมาชิกจะต้องการแสดงความคิดเห็นอย่างเปิดเผย ตรงไปตรงมา แก้ปัญหาอย่างเต็มใจและจริงใจ เพื่อให้สามารถอยู่
             ร่วมกันและทำงานร่วมกันเป็นอย่างดี โดยมีการเรียนรู้เกี่ยวกับบุคคลอื่นในด้านความต้องการ ความคาดหวัง  ความชอบ
             หรือไม่ชอบ ความรู้ความสามารถความสนใจความถนัด จุดเด่นจุดด้อยและอารมณ์รวมทั้งความรู้สึกความสนใจนิสัยใจคอ
                        3. การสนับสนุนและความไว้วางใจต่อกัน  สมาชิกในทีมจะต้องไว้วางใจ ซึ่งกันและกัน  โดยแต่ละคนมีเสรีภาพ
             แสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา  โดยไม่ต้องกลัวว่าได้รับผลร้ายที่จะมีต่อเนื่องมาภายหลัง  สามารถทำให้เกิดการ
             เปิดเผยต่อกัน  และกล้าที่จะเผชิญหน้าเพื่อแก้ปัญหาต่างๆ ได้เป็นอย่างดี
                        4. ความร่วมมือและการให้ความขัดแย้งในทางสร้างสรรค์ ผู้นำกลุ่มหรือทีมจะต้องทำงานอย่างหนักในอันที่จะทำ
             ให้เกิดความร่วมมือดังนี้
                             4.1 การสร้างความร่วมมือกับบุคคลอื่น  ในการสร้างความร่วมมือเพื่อความเข้าใจซึ่งกันและกัน และ มีบุคคล
             อยู่สองฝ่ายคือ ผู้ขอความร่วมมือ และ ผู้ให้ความร่วมมือ  ความร่วมมือจะเกิดขึ้นได้เมือฝ่ายผู้ให้เต็มใจและยินดีจะให้
             ความร่วมมือ  เหตุผลที่ทำให้ขาดความร่วมมือไม่ช่วยเหลือกัน คือ การขัดผลประโยชน์ ไม่อยากให้คนอื่นได้ดีกว่า 
             สัมพันธภาพไม่ดี วัตถุประสงค์ของทั้งสองฝ่ายไม่ตรงกัน ไม่เห็นด้วยกันวิธีทำงานขาดความพร้อมที่จะร่วมมือ หรืองานที่
             ขอความร่วมมือนั้นเสี่ยงภัยมากเกินไป  หรือเพราะความไม่รับผิดชอบต่อผลงานส่วนรวม
                             4.2 การขัดแย้ง หมายถึง  ความไม่ลงรอยกันตามความคิด  หรือ การกระทำที่เกิดขึ้นระหว่างสองคนขึ้นไป
                 หรือระหว่างกลุ่ม  โดยมีลักษณะที่ไม่สอดคล้อง ขัดแย้ง ขัดขวาง ไม่ถูกกัน จึงทำให้ความคิดหรือการทำกิจกรรมร่วมกัน
             นั้นเสียหาย หรือดำเนินไปได้ยากไม่ราบรื่น ทำให้การทำงานเป็นทีมลดลง นับเป็นปัญหา อุปสรรคที่สำคัญยิ่ง
                                   - สาเหตุของความขัดแย้ง  ผลประโยชน์ขัดกัน
                                   - ความคิดไม่ตรงกัน หรือ องค์กรขัดแย้งกัน
                                   - ความรู้ความสามารถต่างกัน  ทำให้มีลักษณะการทำงานต่างกัน
                                   - การเรียนรู้ต่างกัน  ประสบการณ์ที่มีมาไม่เหมือนกัน
                                   - เป้าหมายต่างกัน
                               4.3 วิธีแก้ความขัดแย้ง  การแก้ความขัดแย้งเป็นเรื่องของทักษะเฉพาะบุคคล การแก้ปัญหาความขัดแย้ง
             ในการทำงานเป็นทีม ควรใช้วิธีการแก้ปัญหาร่วมกันไม่พูดในลักษณะที่แปลความหรือมุ่งตัดสินความไม่พูดในเชิงวิเคราะห์
             ไม่พูดในลักษณะที่แสดงตนเหนือกว่าผู้อื่น หรือไม่พูดในลักษณะที่ทำให้ผู้อื่นเจ็บปวด เสียหน้า อับอาย เจ็บใจ หรือ
             การพยายามพูดหาประเด็นความขัดแย้ง ไม่กล่าวโจมตีว่าใครผิดใครถูก
                         5. กระบวนการทำงาน และการตัดสินใจที่ถูกต้องและเหมาะสม งานที่มีประสิทธิภาพนั้นทุกคนควรจะคิดถึงงาน
             หรือคิอถึงผลงานเป็นอันดับแรก  ต่อมาควรวางแผนว่าทำอย่างไรงานจึงจะออกมาดีได้ดังที่เราต้องการ อย่างไรก็ตาม
             ก่อนที่จะตัดสินใจนั้นจุดมุ่งหมายควรจะมีความขัดแย้งและสมาชิกทุกคน ควรมีความเข้าใจในจุดมุ่งหมายของการทำงาน
             เป็นอย่างดี จุดมุ่งหมายที่ชัดเจนถือเป็นหัวใจสำคัญด้วยเหตุนี้ จุดมุ่งหมายควรต้องมีความชัดเจน และ สมาชิกทุกคนมี
             ความเข้าใจอย่างดีเพราะจะนำไปสู่แนวทางในการทำงานว่าต้องทำอย่างไร จึงจะบรรลุตามเป้าหมายของงาน ให้ได้ผล
             ของงานออกมาได้อย่างดีที่สุด การตัดสินใจสั่งการเป็นกระบวนการขั้นพื้นฐานของการบริหารงาน ผู้บริหารหรือผู้นำทีม
             เป็นบุคคลสำคัญในการที่จะมีส่วนในการตัดสินใจ วิธีการที่ผู้บริหารใช้ในการตัดสินใจหลายวิธีคือ ผู้บริหารตัดสินใจเพื่อ
             แก้ปัญหา  โดยไม่ต้องซักถามคนอื่น หรือ ผู้บริหารจะรับฟังความคิดเห็นก่อนตัดสินใจ กล่าวคือ ผู้บริหารยังคงตัดสินใจ
             ด้วยตนเองแต่ขึ้นอยู่กับความคิดเเห็นและข้อมูลอื่นๆ ที่ผู้บริหารได้รับมาจากสมาชิกของทีม บางครั้งผู้บริหารอาจจะ
             ตัดสินใจร่วมกับทีมงานที่คัดเลือกมา   โดยที่ผู้บริหารนำเอาปัญหาให้ทีมงานอภิปราย แล้วให้ทีมงานตัดสินใจหรือทีมงาน 
             อาจจะมอบหมายการตัดสินใจให้คนใดคนหนึ่งหรือกลุ่มย่อม ที่เห็นว่าเหมาะสมก็ได้

                         ขั้นตอนในการตัดสินใจที่มีประสิทธิ์ภาพ ประกอบด้วยขั้นตอนที่สำคัญ 4 ขั้นตอน คือ
                    1. ทำความเข้าใจอย่างชัดเจนในเหตุผล สำหรับการตัดสินใจ
                         2. วิเคราะห์ลักษณะของปัญหาที่จะตัดสินใจ
                         3. ตรวจสอบทางเลือกต่างๆ ในการแก้ปัญหาโดยพิจารณาถึงผลที่อาจเกิดตามมาด้วย
                         4. การนำเองผลการตัดสินใจไปปฏิบัติ
                         5. ภาวะผู้นำที่เหมาะสม ผู้นำ หรือ หัวหน้าทีมควรทำหน้าที่เป็นผู้ชี้แนะประเด็นที่สำคัญ
                                     ในการทำงานตามบทบาทของผู้นำ คือการแบ่งงานกระจายงานให้สมาชิกทุกกลุ่มตาาความรู้ ความสามารถ
            สำหรับสมาชิกของทีมงานที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้นำ ต้องพร้อมที่จะทำหน้าที่ให้เหมาะสมกับงานที่ได้รับมอบหมาย
            โดยการให้การสนับสนุนนำทีมให้ประสบผลสำเร็จ ส่งเสริมให้มีบรรยากาศที่ดีในการทำงานเป็นทีม มีการพัฒนาบุคลากร
            และทีมงาน
                          7. การตรวจสอบทบทวนผลงานและวิธีในการทำงาน  ทีมงานที่ดีไม่เพียงแต่ดูจากลักษณะของทีมและบทบาท
            ที่มีอยู่ในองค์กรเท่านั้น แต่ตั้องดูวิธีการที่ทำงานด้วยการทบทวนงาน แนะนำให้ทีมงานได้เรียนรู้จากประสบการณ์ที่ทำ
            รู้จักคิด  การได้รับข้อมูลป้อนกลับเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของแต่ละคน หรือ ของทีม
                          8. การพัฒนาตนเอง   การทำงานเป็นทีมที่มีประสิทธิภาพพยายามที่จะรวบรวมทักษะต่างๆของแต่ละคน การ
            พัฒนาบุคคลากรในองค์กรมักจะมองในเรื่องทักษะและความรุ้ที่แต่ละคนมีอยู่แล้ว ก็ทำการฝึกอบรมพัฒนาคนให้มีความ
            สามารถสูงขึ้นอันจะมีผลดีในการทำงานให้ดีขึ้น ผู้บริหารหรือผู้นำต้องมีความรู้ในการบริหารคน สามารถสอนพัฒนาคน
            ให้มีลักษณะที่ดีขึ้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น