วันพฤหัสบดีที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2560

ท่าโยคะเด็ดดวง กระชับสัดส่วนได้ตรงจุด

 ท่าโยคะเบื้องต้น โยคะลดหน้าท้อง โยคะลดต้นขา อยากหุ่นดี ฟิต&เฟิร์ม ลองมาเล่นโยคะกระชับสัดส่วนกันเลย

          โยคะที่ดีต่อสุขภาพก็เป็นหนึ่งในตัวช่วยเบิร์นแคลอรี ปราบเซลลูไลท์ และแก้ปัญหาส่วนเกินในจุดที่คุณสาว ๆ กังวลได้ ถ้ายิ่งฝึกบ่อย ๆ ยังช่วยให้คุณสาว ๆ ดูเด็กลงด้วย ประโยชน์เพียบแบบนี้ชักอยากลุกขึ้นมาฝึกโยคะแล้วสิ แต่ถ้าใครมีปัญหาไม่มีเวลาไปเข้าคอร์สโยคะ ก็ลองมาดูท่าโยคะกระชับสัดส่วนแบบง่าย ๆ ต่อไปนี้ ขอบอกว่าสาว ๆ สามารถฝึกหัดเองจากที่บ้านได้เลยค่ะ


โยคะกระชับต้นแขน 

          หากสาวคนไหนมีปัญหาต้นแขนใหญ่ จะใส่เสื้อแขนกุด สายเดี่ยวก็ไม่กล้า ให้เริ่มปฏิบัติการฝึกโยคะ 3 ท่าต่อไปนี้
ท่าโลมา
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก yogalifejourney.com 

ท่าโลมา (Dolphin Pose)

          นั่งคุกเข่า ประสานมือทั้งสองข้างไว้ข้างหน้า แล้วค่อย ๆ โน้มตัวลงมาให้ข้อศอกแตะพื้น จากนั้นยกสะโพกและก้นขึ้นให้อยู่ในแนวเดียวกับข้อศอก ท่านี้จะช่วยบริหารต้นแขนด้านใน กล้ามเนื้อไบเซ็ปส์ ไตรเซ็ปส์ และไหล่ให้สมส่วน
ท่าสุนัขก้มหน้า

ท่าสุนัขก้มหน้า (Downward dog)

          เริ่มต้นในท่าคลาน ขาและเข่ากางออกความกว้างเท่าสะโพก กางแขนให้กว้างเท่าไหล่ กางนิ้วออกให้กว้างด้วย แล้วใช้มือดันพื้น ยกเข่าขึ้นจนขาตรง (หากรู้สึกตึงขาเกินไป สามารถงอเข่าได้เล็กน้อยเพื่อให้รู้สึกสบาย)

          เมื่อยกเข่าขึ้นแล้ว ให้ยืดแขนไปข้างหน้าเล็กน้อย และก้าวขาไปข้างหลังเล็กน้อย เกร็งต้นขาไว้ จากนั้นดันต้นขาไปข้างหลัง พยายามกดส้นเท้าไว้ให้ติดพื้น ผ่อนคลายศีรษะ คอ แล้วปล่อยให้ไหล่ผายไปด้านหลัง หายใจลึก ๆ ค้างไว้อย่างน้อย 1 นาที 

ท่าท่อนไม้

ท่าท่อนไม้ (Chaturanga)

          ท่านี้จะช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้แขน มือ และกล้ามเนื้อหน้าท้องไปพร้อม ๆ กัน วิธีฝึกก็คือ ให้นอนคว่ำลง เท้าชิดกัน ตั้งนิ้วเท้าขึ้น จากนั้นให้งอข้อศอก มือทั้งสองข้างวางราบไปกับพื้น หายใจเข้า แล้วค่อย ๆ ดันมือทั้งสองข้างยกตัวขึ้น ลำตัวตรงขนานกับพื้น ใช้มือและเท้ารับน้ำหนักตัว สักครู่หนึ่งให้หายใจออก ผ่อนคลายท่าลง กลับไปในท่าเดิม


โยคะลดหน้าท้อง
 
          หน้าท้องย้วย ๆ เป็นปัญหากวนใจคุณสาว ๆ อย่างไม่เคยหยุดหย่อน แต่เราสามารถกระชับหน้าท้องให้ดูฟิตเปรี๊ยะได้ด้วยท่าโยคะที่กระปุกดอทคอมขอแนะนำต่อไปนี้
ท่าเรือ (Boat Pose)

ท่าเรือ (Boat Pose) 

          เริ่มฝึกง่าย ๆ ด้วยการนั่งลงกับพื้นให้หลังตั้งตรง ขาเหยียดตรง หายใจเข้า เหยียดแขนชี้ไปข้างหน้า หายใจออกแล้วเอนตัวไปข้างหลัง ค่อย ๆ เกร็งหน้าท้องแล้วยกขาขึ้นจากพื้น ทำมุมประมาณ 45 องศา ปลายเท้าอยู่สูงเหนือระดับศีรษะ

          จากนั้น ยกแขนขึ้นให้แขนเหยียดตรง ขนานกับพื้นในแนวเดียวกับหัวไหล่ พลิกฝ่ามือหันเข้าหาขา พยายามทรงตัวให้อยู่ในท่าสมดุล ให้น้ำหนักลงที่ก้น ค้างอยู่ท่านี้ประมาณ 10-20 วินาที หากฝึกจนเก่งแล้วให้ค่อย ๆ เพิ่มเวลาขึ้นเป็นสัก 1 นาที

          Tip : ถ้าเพิ่งเริ่มฝึกใหม่ ๆ อาจจะยกขาเหยียดขึ้นไม่ได้นาน ให้หาผ้ายืด หรือเข็มขัดมาคล้องปลายเท้าแล้วใช้มือดึงพยุงตัวเอาไว้

ท่างูเห่า

ท่างูเห่า (Cobra Posture)

          เป็นท่าที่ช่วยบริหารกระดูกสันหลัง และกระชับกล้ามเนื้อหน้าท้องไปในตัว วิธีฝึกคือ ให้นอนคว่ำ งอข้อศอก ต้นแขน และมือ วางชิดลำตัวด้านข้าง ขาชิดกัน หรือจะแยกขาออกประมาณหนึ่งช่วงไหล่ก็ได้
 
          จากนั้น เหยียดแขนขึ้น แต่พยายามให้ศอกงอเล็กน้อยเพื่อยกลำตัวช่วงบนขึ้น เปิดอก เปิดไหล่ พยายามยืดศีรษะขึ้นให้ขนานกับลำตัวช่วงบน ค้างท่าไว้ แล้วหายใจเข้า-ออก ประมาณ 3-5 ลมหายใจ แล้วกลับมาสู่ท่านอนคว่ำเหมือนเริ่มต้น
ท่ายืนด้วยไหล่

ท่ายืนด้วยไหล่ (Half shoulder stand)

          ท่านี้อาจจะยากไปสักหน่อย เหมาะสำหรับผู้ที่ฝึกโยคะมานานจนเชี่ยวชาญแล้ว แต่มือใหม่จะลองดูก็ไม่เสียหาย วิธีฝึกเริ่มจาก นอนหงาย ชันเข่าขึ้นให้ส้นเท้าวางกับพื้นติดก้น หายใจออก แขนและมือทั้งสองข้างวางคว่ำแนบลำตัวกดพื้น ยกสะโพกขึ้นพร้อมดึงเข่าไปทางศีรษะในท่าเข่างอ ยกหลังขึ้นจากพื้น จนเข่าทั้งสองข้างอยู่หน้าใบหน้า 

          จากนั้น ใช้มือสองข้างประคองแผ่นหลังจนกระทั่งหลังตั้งฉากกับพื้น แล้วค่อยเลื่อนมือลงดันแผ่นหลังไว้ เหยียดเข่า ยกปลายเท้าชี้บนเพดาน ดันลำตัวขึ้นจนหน้าอกชิดกับคาง หน้าตั้งตรง ให้คงท่านี้ไว้ 30 วินาที กลับสู่ท่านอนหงาย


โยคะลดต้นขา

          ต้นขาหนา ๆ ตัน ๆ ที่ลดเท่าไรก็ลดไม่ลงสักทีจะอันตรธานไป หากสาว ๆ ตั้งใจและหมั่นฝึกท่าโยคะลดต้นขาต่อไปนี้
ท่าสุนัขก้มหน้าแยกขา
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก yoga.about.com 


ท่าสุนัขก้มหน้าแยกขา (Downward Dog Split Pose)

          หนึ่งในท่าโยคะที่จะช่วยบริหารขาให้เรียวสวยได้ดี คงหนีไม่พ้นท่าสุนัขก้มหน้าแยกขา (Downward Dog Split Pose) เริ่มจากนอนคว่ำลง หายใจเข้าใช้มือดันไปข้างหน้าให้อยู่ในท่าที่คล้ายกำลังจะวิดพื้น หายใจออก แล้วค่อย ๆ ยกสะโพกและก้นขึ้น แขนเหยียดตรงค้ำตัวไว้ ขาทั้งสองข้างยังวางอยู่ที่พื้นในลักษณะเหยียดตรง 

          จากนั้นค่อย ๆ ยกขาข้างขวาขึ้นไปข้างหลัง ยืดขาให้สุด เกร็งฝ่าเท้าไว้ให้เหมือนกับว่ามีกำแพงมาค้ำฝ่าเท้าอยู่ที่ด้านหลัง ทำค้างไว้สักครู่แล้วสลับไปทำอีกข้างแบบเดียวกัน



ท่ายืนก้มตัว (Standing Forward Bend)

          ท่านี้ช่วยยืดหยุ่นกล้ามเนื้อต้นขา และทำให้ขาแข็งแรง เริ่มจากให้ยืนตรงเท้าชิดกัน ส้นเท้าและฝ่าเท้าตรงกัน หรือแยกกันเท่าช่วงไหล่ จากนั้นหายใจออก ก้มตัวลง โดยใช้จุดหมุนที่ข้อสะโพก ปลายนิ้วมือ หรือฝ่ามือจดพื้นตรงหน้านิ้วเท้า หรืออาจจะวางฝ่ามือไว้ตรงหลังเท้า 

          เมื่อหายใจเข้าให้ก้มหน้าให้มากที่สุด เมื่อหายใจออกให้คลายท่าเล็กน้อย อาจจะค้างท่านี้ไว้ 30 วินาทีถึง 1 นาที แล้วค่อยคลายท่า ในการคลายท่าให้ระวังเรื่องกล้ามเนื้อหลัง วิธีการคือ ให้ยกมือขึ้นจากพื้น วางมือไว้บริเวณสะโพกก่อน แล้วย่อตัวลงนั่ง หายใจเข้าพร้อมกับลุกขึ้นยืน

โยคะ

ท่าตรีโกณ (Triangle)

          ท่านี้จะช่วยบริหารกล้ามเนื้อต้นขาด้านใน-นอก และกล้ามเนื้อน่องด้วย วิธีการคือ ให้ยืนตัวตรง มือทั้ง 2 ประสานกันแบบนมัสการ หายใจเข้า ค่อย ๆ ก้าวเท้าขวาไปด้านหลัง เปิดปลายเท้าออกด้านนอก ทำมุมประมาณ 90 องศา ห่างจากเท้าซ้ายประมาณ 1 เมตร เข่างอเล็กน้อย ลำตัวช่วงบนอยู่ศูนย์กลางเข่าจนถึงปลายเท้าเป็นเส้นขนาน เก็บท้อง สะโพกเข้าแกนกลางลำตัว สะโพกขนานกัน

          หายใจออก เหยียดมือขวาขึ้นข้างบน ส่วนมือซ้ายให้เหยียดลงข้างล่างจับที่ขาซ้าย ขนานกับลำตัว ตามองตามปลายนิ้วมือขวา ผ่อนคลายคอ พยายามให้น้ำหนักลงที่ฝ่าเท้าทั้งสองมากกว่าฝ่ามือซ้าย แล้วค้างท่าไว้ 3-5 ลมหายใจ จากนั้น กลับมาสู่ท่าเริ่มต้น ในท่ายืนตรง แล้วทำสลับข้าง 
 

โยคะลดสะโพก
 
          สะโพกที่เป็นเชฟบ๊ะ ใส่กางเกงยีนส์ทีไรคับติ้วทุกที นี่เป็นสัญญาณที่บอกให้คุณสาว ๆ รีบมาฝึกท่าโยคะลดสะโพกกันโดยด่วน
โยคะ

ท่าวัว (Cow Pose)

          เป็นท่าที่จะช่วยให้ยืดสะโพกให้แข็งแรง และผายมากขึ้น ฝึกได้โดยเริ่มจากนั่งคุกเข่า ก้มอยู่ในท่าคลาน เข่าทั้งสองห่างกันเท่าช่วงไหล่ วางมือทั้งสองข้างราบไปบนพื้น แขนเหยียดตรง

          จากนั้น เงยศีรษะขึ้น แอ่นเอวให้มากที่สุด คงท่าไว้ แล้วก้มศีรษะลงจนคางชิดหน้าอกพร้อมกับโก่งหลังขึ้นให้มากที่สุด จากนั้นหายใจออกพร้อมกดท้องเข้าหาสะดือ แล้วกดโค้งหลังลง ตามองไปที่เพดาน 
โยคะ

ท่านักรบ 2 (Warrior Two)

          ยืนตรงเท้าชิด หายใจออกช้า ๆ กระโดดแยกเท้าออกกว้าง 3-4 ฟุต กางแขนออกขนานกับพื้น แล้วหมุนเท้าซ้ายไปทางซ้าย 90 องศา ส่วนเท้าขวาเฉียงมาทางซ้ายเล็กน้อย แล้วงอเข่าซ้ายลงจนสะโพกซ้ายอยู่ในระดับเข่าซ้าย เข่าซ้ายและส้นเท้าซ้ายอยู่ในแนวเดียวกันในแนวดิ่ง ขาขวาเหยียดตึง

          จากนั้น เหยียดแขนทั้งสองข้างกางออก แขนซ้ายไปทางซ้าย แขนขวาไปทางขวา แขนทั้งสองขนานกับพื้น หันหน้าไปทางซ้ายมองที่ปลายนิ้ว ยืดเอว ลำตัวและแขนไปทางซ้ายให้มากที่สุด ค้างไว้ 30 วินาที - 1 นาที คลายท่า แล้วสลับข้าง ทำท่าเดิม
 
โยคะท่านกอินทรี


ท่านกอินทรี (Eagle Garudasana)

          วิธีฝึกคือ ให้ยืนตัวตรง กางขาออกเล็กน้อย งอเข่าซ้ายพาดไว้บนขาขวา แล้วใช้ข้อเท้าซ้ายเกี่ยวข้อขาขวาเอาไว้ จากนั้น ค่อย ๆ ย่อเข่าขวาลงมาให้มากที่สุด

          ช่วงบน ให้ไขว้ข้อศอกขวาไว้ใต้แขนซ้าย ประกบฝ่ามือกันไว้ข้างหน้า ทำท่านี้ค้างไว้ 15-30 วินาที จึงค่อยคลายเท้าและมือออก แล้วทำแบบเดียวกันนี้กับอีกข้าง 
 

โยคะกระชับบั้นท้าย

          บั้นท้ายที่หย่อนคล้อยเพราะเป็นสาวออฟฟิศที่ต้องนั่งทำงานมาตลอดทั้งวัน คงต้องหาวิธีบริหารให้บั้นท้ายฟิต ๆ กลับมาดังเดิม ด้วยท่าโยคะง่าย ๆ อย่าง...
ท่าโยคะ

ท่านั่งเก้าอี้ (Chair Pose)

          วิธีฝึกก็คือ ให้ยืนตรงเท้าชิดกัน เหยียดเข่าให้ตึง เกร็งกล้ามเนื้อต้นขาให้เข่ากระชับ จากนั้นแยกขาออกเล็กน้อย หายใจเข้าช้า ๆ ยกมือขึ้นตั้งฉากกับพื้น พนมมือ แล้วหายใจออก ย่อเข่าลงให้มากที่สุดจนขนานกับพื้น

          จากนั้นให้ยืดอก เหยียดลำตัวให้ตรง พยายามอย่าให้ตัวก้มไปข้างหน้า ค้างท่านี้ไว้ 30 วินาที-1 นาที แล้วค่อย ๆ ปล่อยมือลง กลับมายืนตามเดิม
โยคะ

ท่ายืนขาเดียวตัว T (Warriror III Pose)

          เริ่มจากการยืนตัวตรง และมือใช้ทั้ง 2 ประสานกันแบบนมัสการ หายใจเข้า มือทั้งสองแตะสะโพก ย่อเข่าซ้ายเล็กน้อย ค่อย ๆ ยกขาขวาขึ้น พยายามเหยียดเป็นแนวเส้นตรงขนานกับสะโพก ลำตัว จนถึงศีรษะ เก็บท้อง สะโพกเข้าแกนกลางลำตัว สะโพกขนานกัน

          จากนั้น หายใจออก เหยียดมือทั้งสองขนานศีรษะ ลำตัว สะโพก และขา พยายามเก็บแขนแนบชิดใบหู เปิดอก ไหล่ แขน มือจะประสานกัน หรือจะเหยียดขนานเป็นแนวเส้นตรงกับหัวไหล่ก็ได้ แล้วค้างท่าไว้ 3-5 ลมหายใจ ก่อนจะกลับมาสู่ท่าเริ่มต้น ในท่ายืนตรง แล้วทำสลับแบบนี้กับอีกข้าง
ท่าโยคะ

ท่าสะพานโค้ง (Bridge Pose)

          เป็นท่าที่ไม่ยากนัก แต่กระชับบั้นท้ายได้อยู่หมัด เริ่มจากให้นอนหงาย ให้หลังแนบกับพื้น ชันเข่าขึ้น แยกเท้าห่างเท่ากับความกว้างของสะโพก แขนวางแนบลำตัว แล้วค่อย ๆ ยกสะโพกขึ้นจนก้นกบอยู่ระนาบเดียวกับหัวเข่า ยกหน้าอกให้อยู่เหนือไหล่ (หากรู้สึกยันตัวไม่ถนัด ให้ขยับเท้าทั้งสองเข้าหาตัวได้เล็กน้อย)

          จากนั้น หายใจเข้า แล้วกลั้นหายใจไว้ครู่หนึ่ง แล้วค่อยผ่อนลมหายใจออก ก่อนจะกลับเข้าสู่ท่าผ่อนคลาย

          หลากหลายท่าโยคะต่อไปนี้ สาว ๆ สามารถทำได้เองที่บ้าน และต้องหมั่นทำเป็นประจำนะคะ เพื่อผลลัพธ์ขั้นสุดท้ายที่จะทำให้เรายิ้มแก้มปริ หรือถ้าไม่แน่ใจว่าเราทำท่าโยคะถูกวิธีหรือไม่ก็ลองคลิกวิดีโอที่สอนโยคะท่าต่าง ๆ ดูก็ได้ เห็นทั้งภาพ ได้ยินทั้งเสียง รับรองว่าฝึกเองได้สบายชัวร์ ๆ  

กุ้งอบวุ้นเส้น

เครื่องปรุง-ส่วนผสมกุ้งอบวุ้นเส้น
  • กุ้งสด 12 ตัว
  • ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนโต๊ะ
  • วุ้นเส้น 1 ห่อเล็ก
  • กระเทียมทุบ 3 กลีบ
  • พริกไทยดำบุบพอละเอียด 1 ช้อนชา
  • ซีอิ๊วดำ 1 ช้อนชา
  • รากผักชี 1 ช้อนโต๊ะ
  • หมูสามชั้นหรือเบคอน 100 กรัม
  • เกลือ 0.5 ช้อนชา
  • ขิงหั่นบางๆ 2 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำมันหอย 2 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำกุ้งอบวุ้นเส้น
  1. นำกุ้งล้างน้ำให้สะอาด ไม่ต้องปลอกเปลือก
  2. นำวุ้นเส้นแช่น้ำอุ่นพอนิ่ม จากนั้นให้ผสมเครื่องปรุงรส น้ำมันหอย ซอสแม็กกี้ ซีอิ๊วขาว เกลือ พริกไทย เข้ากับน้ำ 1 ถ้วยเล็ก
  3. นำหม้อสำหรับอบ มาเรียงหมูสามชั้นหรือเบคอน กุ้ง และกระเทียม ขิง รากผักชี ลงไปในก้นหม้อ
  4. ใส่วุ้นเส้น แล้วนำไปตั้งไฟ และราดน้ำที่ปรุงเตรียมไว้ก่อนครึ่งถ้วย แล้วตามด้วยราดน้ำปรุงส่วนที่เหลือ เหยาะซีอิ๊วดำซักนิด แล้วปิดฝาหม้อ อบไว้ 15 นาทีโดยใช้ไฟกลาง
  5. เมื่อเสร็จแล้วให้โรยด้วยผักชี

ฉู่ฉี่กุ้ง

เครื่องปรุง ส่วนผสมฉู่ฉี่กุ้ง
  • กุ้งแกะเปลือกออกแล้ว  10 ตัว
  • น้ำพริกแกงเผ็ด 3 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะ
  • ใบมะกรูดซอยละเอียด 2 ใบ
  • กะทิ 400 กรัม
  • พริกชี้ฟ้าแดงหั่นตามยาว 1 เม็ด
  • ผักชีหรือใบโหระพา (ไว้ตกแต่ง)
  • น้ำมันพืช
วิธีทำฉู่ฉี่กุ้ง
  1. เทน้ำมันใส่กระทะและนำไปตั้งไฟ พอน้ำมันร้อนนำน้ำพริกแกงเผ็ดลงไปผัด เติมกะทิ ผัดจนเครื่องแกงกับกะทิเข้ากัน จนกะทิแตกมัน
  2. ใส่กุ้งลงไปผัด จากนั้นปรุงรสด้วยน้ำปลาและน้ำตาล
  3. ผัดจนเนื้อกุ้งสุก (อย่าให้สุกเกิน เดี๋ยวเนื้อจะแข็งค่ะ) แล้วจึงเติมใบมะกรูดลงไปผัดต่อ
  4. ตักใส่จาน แต่งหน้าด้วยใบมะกรูดซอย พริกชี้ฟ้าหั่นเฉลียง ผักชีหรือใบโหระพา ตกแต่งพองาม เสริฟพร้อมข้าวสวยร้อนๆ

เต้าหู้ทรงเครื่อง

เต้าหู้ทรงเครื่องจัดเป็นเมนูอาหารเพื่อสุขภาพ เพราะว่าประกอบด้วยส่วนผสมที่ครบทั้ง 5 หมู่ ทั้งเต้าหู้ เห็ดหอม ข้าวโพด แครอท หอมใหญ่ หมูสับ หรืออื่นๆอีกตามแต่ผู้ปรุงจะต้องการ เรียกว่าจะไปไหนผมสั่งบ่อยกว่ากระเพราเสียอีก เวลาสั่งกับข้าว 3-5 อย่างรับรองเต้าหู้ทรงเครื่องหมดก่อน คอนนเฟิร์ม
ส่วนผสม เครื่องปรุงเต้าหู้ทรงเครื่อง
(ส่วนผสมบางอย่างจะใส่หรือไม่ใส่ตามสะดวก)
  • เต้าหู้หลอด 2-3 หลอด (หั่นเป็นท่อนๆ)
  • กุ้งขนาดกลาง 100 กรัม(ล้างทำความสะอาดและ ปอกเปลือก)
  • หมูสับ 100 กรัม
  • แครอทหั่นเป็นลูกเต๋า 50 กรัม
  • ข้าวโพดอ่อนหั่น 50 กรัม
  • เห็ดหอมหั่นเป็นชิ้นๆ 50 กรัม
  • ต้นหอม 1/2 ถ้วยตวง (หั่นตามยาว)
  • ขึ้นฉ่าย 1/2 ถ้วยตวง (หั่นตามยาว)
  • กระเทียมสับ 2 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำมันหอย 2 ช้อนโต๊ะ
  • ซอสปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ
  • พริกไทย 1/4 ช้อนชา
  • น้ำตาล 1/4 ช้อนชา
  • แป้งข้าวโพด 1 ช้อนโต๊ะ (ละลายน้ำ)
  • น้ำมันพืชสำหรับทอดและผัด
 วิธีทำเต้าหู้ทรงเครื่อง
1. ทอดเต้าหู้ ใช้ไฟร้อนปานกลาง รอจนน้ำมันร้อน นำเต้าหู้หลอดที่หั่นไว้ลงไปทอดจนเหลืองทั่ว จึงปิดไฟและนำออกมาสะเด็ด
น้ำมัน จัดใส่จานเสริฟไว้ก่อน
2. ทำน้ำราดโดยตั้งน้ำมันในกระทะบนไฟร้อนปานกลาง รอจนร้อน ใส่กระเทียมลงไปผัดจนเหลืองหอม จากนั้นใส่กุ้งและหมูสับ
ลงไปผัดต่อจนเกือบสุก
3. ใส่แครอท, เห็ดหอม, ต้นหอม, ขึ้นฉ่ายและข้าวโพดอ่อนลงไปผัดจนเกือบสุก ปรุงรสด้วย น้ำมันหอย, ซ๊อสปรุงรส, พริกไทย
และน้ำตาล จากนั้นจึงใส่ส่วนผสมแป้งที่นำไปละลายน้ำ คนต่อเนื่องอย่าให้แป้งจับตัวเป็นก้อน เมื่อแป้งละลายดีแล้วเร่งไฟให้แรง
ขึ้น ผัดอย่างรวดเร็ว จนส่วนผสมทุกอย่างเข้ากันดี จึงปิดไฟ
4. เทน้ำราดบนเต้าหูทอดที่จัดใส่จานไว้ หรือเอาเต้าหู้ทอดผัดรวมกับขั้นตอนที่ 3 ได้เลย

ยำปลาหมึก

เครื่องปรุง ส่วนผสม
  • ปลาหมึกหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ 400 กรัม
  • ต้นหอมหั่น 1 ช้อนโต๊ะ
  • ใบสาระแหน่ 1/2 ถ้วยตวง
  • คึ้นฉ่ายหั่น 1 ช้อนโต๊ะ
  • ขิงซอย 1/2 ช้อนโต๊ะ
  • หอมใหญ่หั่น 2 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำตาล 1/2 ช้อนชา
  • น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
  • ผักชีหั่น 1 ช้อนโต๊ะ
  • พริกขี้หนูทุบพอแหลก 3-5 เม็ด
  • ตะไคร้ซอยละเอียด 1 ช้อนชา
  • น้ำมะนาว 3 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำการทำยำปลาหมึก
  1. นำปลาหมึกไปลวกในน้ำร้อนจนสุก นำออกมาสะเด็ดน้ำ
  2. นำปลาหมึกที่ลวกแล้วไปผสมกับ, พริก, น้ำมะนาว, น้ำปลา, น้ำตาล, ตะไคร้, คึ้นฉ่าย, ขิงซอย และหอมใหญ่ คลุกจนส่วนผสมทุกอย่างเข้ากันดี
  3. ปรุงรสเพิ่มเติมตามรสที่ต้องการ รสชาติดั้งเดิมควรจะมีรสเปรี้ยวนำ และมีรสค็มนิดหน่อย ส่วนรสเผ็ดปรับความชอบ
  4. จัดใส่จาน แต่งหน้าด้วยผักชี, ใบสาระแหน่ และต้นหอม เสริฟทันที พร้อมข้าวสวยร้อนๆ หรือเป็นกับแกล้มก็ได้ี (สำหรับอาหารประเภทยำนั้น เมื่อยำแล้วควรจะเสริฟทันที ถ้าทิ้งไว้นานเนื้อสัตว์จะดูดน้ำยำเข้าไป ทำให้รสชาติผิดไปจากที่ปรุงไว้ อาหารจะชืดและไม่อร่อย)

4การสอนแบ่งกลุ่มการทำกิจกรรม

4.วิธีสอนแบบแบ่งกลุ่มทำกิจกรรม

วิธีสอนแบบแบ่งกลุ่มทำกิจกรรม
การแบ่งกลุ่มทำกิจกรรมหรือแบ่งกลุ่มทำงาน คือ วิธีสอนหรือผู้สอนหมอบหมายให้ผู้เรียนทำงานรวมกันเป็นกลุ่ม ช่วยกันค้นคว้าหรือทำกิจกรรมที่ได้รับหมอบหมายให้สำเร็จ เป็นการช่วยให้เกิดการเรียนรู้ในบทเรียนยิ่งขึ้น เพราะการได้ลงมือปฏิบัติกิจกรรมจะช่วยให้เกิดการเรียนรู้ได้ดี เป็นวิธีสอนที่ครูมอบหมายให้นักเรียนทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มร่วมมือกันศึกษาค้นคว้าหาวิธีการแก้ปัญหาหรือปฏิบัติกิจกรรมตามความสามารถ ความถนัด หรือความสนใจ เป็นการฝึกให้นักเรียนทำงานร่วมกันตามวิถีแห่งประชาธิปไตย
ความมุ่งหมายของวิธีการสอนแบบแบ่งกลุ่มทำงาน
1.    เพื่อให้นักเรียนมีความรับผิดชอบร่วมกันในการทำงานนั่นคือส่งเสริมการทำ งานเป็นทีม
2.    เพื่อสร้างวัฒนธรรมในการทำงานร่วมกันอย่างมีระบบและมีระเบียบวินัย รู้จักทำหน้าที่
3.    เพื่อฝึกทักษะในการแก้ปัญหา การศึกษาค้นคว้าและแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง โดย
ปฏิบัติงานทั้งเป็นรายบุคคลและเป็นกลุ่ม และมีประสบการณ์ตรงในการทำงาน
4.    เพื่อให้นักเรียนได้ทำงานตามความสนใจ ความถนัด และความสามารถ
ขั้นตอนการสอน
1.ขั้นเตรียม
เป็นขั้นที่ผู้สอนจัดเตรียมวางแผนการสอน โดยเตรียมหัวข้องานที่จะมอบหมายให้ทำเป็นกลุ่ม กำหนดจุดมุ่งหมาย เวลา วิธีการ ตลอดจนเตรียมสื่อการสอนและเอกสารที่ต้องใช้ในการสอน
2. ขั้นดำเนินการสอน ประกอบด้วย
     2.1 ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน
เป็นขั้นจูงความสนใจของผู้เรียนเข้าสู่บทเรียน ให้ผู้เรียนเกิดความพร้อมที่จะเรียนรู้ อาจใช้วีทบทวนความรู้เดิม สนทนา ซักถาม อภิปรายนำเรื่อง ฯลฯ นอกจากนี้ ผู้สอนควรได้แจ้งจุดประสงค์การสอน แจ้งขั้นตอนการทำกิจกรรม กำหนดเวลา และข้อตกลงอื่นๆ ให้ผู้เรียนเข้าใจตรงกันก่อนเข้ากลุ่มทำกิจกรรม
     2.2 ขั้นสอน มีลำดับดังนี้
1.   แบ่งผู้เรียนออกเป็นกลุ่มตามจำนวนที่เหมาะสม ให้ใช้วิธีการแบ่งกลุ่มที่น่าสนใจ
2.   ให้แต่ละกลุ่มเลือกประธาน เลขานุการ
3.   แจกเอกสาร บัตรคำถาม หรือสื่อการเรียนที่กลุ่มจำเป็นต้องใช้ในการทำกิจกรรมกลุ่ม
4.   ให้กลุ่มทำกิจกรรมที่ได้รับมอบหมายภายในเวลาที่กำหนด
5.   ให้แต่ละกลุ่มรายงานผลงานของกลุ่มตามที่ผู้สอนกำหนด
3.ขั้นสรุป
1.   ให้ผู้เรียนอภิปรายร่วมกันเพื่อสรุปความสำคัญจากการรายงานของแต่ละกลุ่มและผู้สอนให้ข้อเสนอแนะพร้อมแนวคิดในการประยุกต์ใช้
2.   สนทนาและซักถามผู้เรียนถึงประเด็นปัญหาสำคัญเพื่อเป็นการวัดผล
ข้อดีของวิธีการสอนแบบแบ่งกลุ่มทำงาน
1.    นักเรียนได้แสดงความคิดเห็นของตนเองอย่างเต็มที่
2.    นักเรียนได้ทำงานตามความถนัด ความสามารถ และความสนใจของตนเอง
ข้อจำกัด
ถ้าผู้สอนไม่เตรียมขันตอนการสอน ไม่เตรียมสื่อการเรียนการสอนไม่เตรียมหมอบหมายงานอย่างเป็นลำดับขั้นตอน ก็จะทำให้กานสอนไม่ประสบผลและอาจล้มเหลวในเรื่องนั้นๆ
ข้อสังเกตของวิธีการสอนแบบแบ่งกลุ่มทำงาน
1.    ถ้าครูเพิ่งเริ่มใช้วิธีการสอนแบบแบ่งกลุ่มทำงานเป็นครั้งแรก ครูควรดูแลนักเรียนใกล้ชิด เช่น ต้องดูแลให้นักเรียนทุกคนทำหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย นักเรียนผู้ที่เป็นหัวหน้ากลุ่มต้องทำหน้าที่ประสานงานระหว่างสมาชิกในกลุ่มและนอกกลุ่ม รวมทั้งประสานงานกับครู
2.    หน้าที่การเป็นหัวหน้ากลุ่ม ควรหมุนเวียนสับเปลี่ยนกัน เพื่อฝึกการเป็นผู้นำและผู้ตามที่ดี
3.    การปฏิบัติกิจกรรมในกลุ่มควรปฏิบัติตามหลักเกณฑ์อย่างเคร่งครัด

15 เทคนิคเรียนภาษาอังกฤษ จากไม่รู้...ให้เก่งทุกด้าน เคล็ดลับการเรียนภาษาอังกฤษ

 5 เทคนิคเก่ง Grammar
    - พื้นฐานง่ายๆ ต้องแม่น
           ภาษาอังกฤษก็เหมือนภาษาไทย ที่จำเป็นต้องรู้พื้นฐานก่อน คำนาม คำกริยา คำวิเศษณ์ กริยา 3 ช่อง พื้นฐานพวกนี้ถือว่าจำเป็นมากๆ สำหรับการเรียนแกรมม่าเลยก็ว่าได้ เพราะต้องใช้ต่อยอดแกรมม่าเรื่องอื่น จะเรียนเรื่อง Tense แต่ละ Tense ก็ใช้ Verb คนละช่อง ก็ต้องรู้จักเลือกใช้ให้ถูก เป็นต้น

   
 - กฎเหล็ก ข้อยกเว้น ต้องจำได้
            หลายคนตกม้าตายเรื่องข้อยกเว้น แกรมม่าเป็นเรื่องของหลักภาษาที่ค่อนข้างซับซ้อน กำหนดมาเป็นอย่างดีว่าต้องใช้แบบนี้ๆ แต่สุดท้ายก็จะมีข้อยกเว้นแปะท้ายให้ปวดกบาลคนเรียนเล่นๆ ยกตัวอย่างง่ายๆ นะคะ การเปลี่ยนคำนามเอกพจน์ให้เป็นพหูพจน์ เรียนกันมาว่าให้เติม s, es ถ้าลงท้ายด้วย o ให้เติม es ได้เลย แต่ก็มีข้อยกเว้น อย่างเช่น photo สามารถใช้ photos ได้เลย ไม่ใช่ photoes เป็นต้น

 
    - มีตัวอย่างเสริม
            แกรมม่าภาษาอังกฤษมีเยอะพอๆ กับหลักภาษาไทย จะให้ท่องจำแต่หลักหรือโครงสร้างก็น่าเบื่อเกินไป ลองวิธีนี้สิคะ หาตัวอย่างประโยคของหลักนั้นๆ เป็นโมเดลประโยค ท่องจำจะได้ง่ายขึ้นค่ะ ประมาณว่าคิดถึงโครงสร้างนี้ ท่องประโยคนี้ขึ้นมา ก็จะรู้ได้ว่าโครงสร้างมันเป็นยังไง ก็เหมือนกับเราท่องเสียงลือเสียงเล่าอ้าง เป็นต้นแบบของโครงสี่สุภาพนั่นเอง

 
15 เทคนิคเรียนภาษาอังกฤษ จากไม่รู้...ให้เก่งทุกด้าน
 

    - อ่านเองไม่รู้เรื่อง ต้องเข้าใจตั้งแต่ในห้องเรียน
            ถ้ารู้ตัวว่าเรียนรู้อะไรช้า ยิ่งเป็นแกรมม่ายากๆ อ่านเองไม่เข้าใจ ก็ควรตั้งใจเรียนตั้งแต่ในห้องเรียน เพราะอาจารย์แต่คนจะมีเทคนิคการจำแตกต่างกัน ฟังให้เข้าใจตั้งแต่ในคาบและจดเทคนิคการจำไว้ด้วย กลับมาอ่านเองทีหลังจะได้ง่ายขึ้

    - อัพเกรดอ่านหนังสือภาษาอังกฤษ
             วิธีนี้ถือว่าได้ประโยชน์ระยะยาวค่ะ หัดอ่านหนังสือเรื่องสั้น นิยาย หนังสือพิมพ์ ที่เป็นภาษาอังกฤษ หรืออ่านข่าวจากเว็บไซต์ต่างประเทศก็ได้ สื่อพวกนี้เราได้ทั้งศัพท์แปลกๆ ใหม่ๆ ยังได้เรียนรู้แกรมม่าด้วย
 
  5 เทคนิคเก่ง Vocabulary
 15 เทคนิคเรียนภาษาอังกฤษ จากไม่รู้...ให้เก่งทุกด้าน   - มองทุกอย่างเป็นศัพท์ภาษาอังกฤษ
           ทางลัดอย่างนึงของการรู้คำศัพท์เยอะคือการทบทวนบ่อยๆ แต่บางคนไม่มีเวลามานั่งท่องศัพท์ตลอดเวลา ไม่มีแรงกระตุ้นด้วย ก็ลองใช้วิธีนี้ดูค่ะ คือ มองทุกอย่างให้เป็นภาษาอังกฤษ เดินไปตลาด เจอของตามทางก็นึกเป็นศัพท์ภาษาอังกฤษ อันไหนไม่ได้ ก็จำไว้แล้วมาเปิดดิคชันนารีที่บ้าน

    - หาคำควบคู่ หรือ ตรงข้ามไว้ด้วย
          เป็นการเรียนรู้ศัพท์แบบก้าวกระโดดค่ะ คือ รู้ศัพท์คำนึงแล้ว ให้หาคำศัพท์ที่ความหมายเหมือนกันและตรงข้ามกันมากองเป็นกลุ่มคำไว้ เวลาท่องจำทีนึงจะได้ไปพร้อมๆ กันทีเดียว เราก็ได้ศัพท์มากขึ้นในเวลาที่น้อยลง

     - crossword puzzle

          เป็นเกมที่หลายคนคงเคยเล่น แต่เล่นเป็นภาษาไทย เกมนี้วัดความรู้คำศัพท์อย่างแท้จริงเลยค่ะ ลักษณะเกม คือ เป็นตารางคำศัพท์ มีช่องตามพยัญชนะของคำต่อกันหลายๆ คำ แล้วเราก็มาอ่านคำอธิบายด้านล่าง จากคำอธิบายต้องนึกให้ออกว่าเป็นคำว่าอะไร ฝึกเกมนี้บ่อยๆ ได้ฝึกทั้งเรื่องคำศัพท์และแปลความด้วยค่ะ
 
15 เทคนิคเรียนภาษาอังกฤษ จากไม่รู้...ให้เก่งทุกด้าน
เกม crossword puzzle

    - เตรียมสมุดจดศัพท์ที่ไม่คุ้นเคย
           เพิ่มสมุดจดศัพท์ลงในกระเป๋าอีกชิ้นคงไม่หนักอะไรมากนะคะ เอาไว้จดคำศัพท์ที่เราไปเจอมาแล้วไม่รู้ความหมาย เพื่อที่ว่ากลับมาบ้านมาก็หาความรู้เพิ่ม จดทุกวันๆ สมุดเล่มนี้จะเหมือนคัมภีร์คำศัพท์ที่คัดมาแล้วว่าเราเจอในชีวิตประจำวันจริงๆ

   
 - ฝึกสร้างประโยคจากศัพท์

          คล้ายกับเทคนิคเรียนแกรมม่า แต่เพิ่มสกิลการเขียนอีกนิดนึง น้องๆ สามารถหาตัวอย่างประโยคแกรมม่าจากหนังสือเรียนได้ แต่การสร้างประโยคจากคำศัพท์ แนะนำให้น้องๆ ฝึกแต่งประโยคขึ้นมาเอง จะเริ่ดมากค่ะ
 
  5 เทคนิคเก่ง Conversation & Speaking
    - อย่ากลัวพูดผิด
            ความกลัวทำให้เราไม่กล้า และการที่เราพูดผิดก็ไม่ได้ทำให้โลกแตกซะหน่อย ดีไม่ดี คู่สนทนาเราอาจจะอยากช่วยเหลือเราก็ได้ ก็เหมือนกับฝรั่งมาพูดภาษาไทยผิดๆ ถูกๆ ฟังดูน่ารักกรุ้มกริ่ม อยากให้ความช่วยเหลือ ซึ่งฝรั่งหลายคนเรียนรู้ภาษาที่สามได้เร็วมาก เพราะมีความกล้านั่นเอง

   
 - หาตัวช่วยฝึกออกเสียง
          สำเนียงการพูดอาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ถ้าสำเนียงเป๊ะ ก็เป็นประโยชน์ต่อการสื่อสาร เราและคู่สนทนาก็ฟังกันเข้าใจมากขึ้น เพราะบางครั้งไม่ใช่แค่สำเนียงที่ฟังยาก แต่การออกเสียงคำอาจจะผิดด้วย ดังนั้นต้องหาตัวช่วยเพื่อการออกเสียงที่ดีของเราค่ะ เช่น ทอล์คกิ้งดิคชันนารี หรือจะเปิดดิคบนเว็บแล้วกดรูปลำโพงเพื่อฟังเสียง หรือทางลัดสุดคือ หาเพื่อนชาวต่างชาติมาคุยด้วยซะเลย จะได้ฝึกอย่างเต็มที่ ไม่ต้องมานั่งอายเวลาออกเสียงด้วย

   
 - อย่านึกเป็นภาษาไทย
         น้องๆ คงเคยได้ยินคำว่า ฝึกคิดแบบฝรั่งจะได้พูดแบบฝรั่ง อันนี้เป็นเรื่องจริงเลยค่ะ เพราะการที่เราคิดเป็นภาษาไทยทำให้เรายึดติดกับไวยากรณ์ภาษาไทย นั่งคิดศัพท์ที่ตรงกับภาษาไทยเป๊ะๆ ทำให้ช้าและสำนวนที่ออกมาจะดูฝืนๆ ด้วยค่ะ

   
 - ก่อนพูดต้องฝึกฟังด้วย
         แม้เราจะฝึกพูด แต่ก็อย่าลืมให้ความสำคัญกับการฟัง การฟังไม่ว่าจะเป็นจากคนที่เราคุยด้วย หรือ การดูตามสื่อต่างๆ จะช่วยรู้จังหวะการพูด การเลือกใช้คำพูดตามสถานการณ์ และที่สำคัญถ้าสนทนากับคนอื่นจริงๆ การฟังจะช่วยให้เราคุยกันถูกเรื่อง ไม่ใช่สักแต่ว่าพูด พูดกันคนละเรื่องก็จะพูด จะทำให้คู่สนทนาเบื่อเราค่ะ

 
15 เทคนิคเรียนภาษาอังกฤษ จากไม่รู้...ให้เก่งทุกด้าน
 

    - ดูหนังฝรั่งที่บ้าน ฝึกพูดตาม
         วิธีนี้เบสิคและน่าทำตามที่สุด แถมยังฝึกคนเดียวได้ด้วย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการฝึกพูดจริงๆ ค่ะ เลือกซื้อซีดีหนัง soundtrack แนวที่เราชอบดู แรกๆ เปิดดูแบบมีซับไตเติ้ลไปก่อน รอบสองรอบสามก็ฟังแบบไม่มีซับและฝึกพูดตามเสียงที่ได้ยิน ที่พี่มิ้นท์บอกว่าวิธีนี้น่าทำตามที่สุด เพราะเมื่อต้องการฝึกภาษาจริงๆ เราสามารถกด pause เพื่อฝึกพูดตามได้นั่นเอง

 
  
         ชอบวิธีไหน ถนัดวิธีไหน ลองไปฝึกกันนะคะ การเรียนภาษาที่สามให้เก่ง ไม่ได้ฝึกกันวันสองวัน ซื้อก็ไม่มีขาย อยากได้ต้องฝึกกันเองค่ะ บางคนเสียตังค์ไปหลายหมื่นแต่ไม่มีความพยายามพอก็ไม่ได้ผลเหมือนกัน ในขณะที่บางคนไม่ได้เสียตังค์สักบาท แต่สู้อุตส่าห์หาความรู้ในเน็ตก็เก่งได้
          ทั้งหมดนี้ก็เพื่อจะบอกว่า
 "วิธีการ" ไม่สำคัญเท่า "ความพยายาม" นะคะ แต่ถ้ามีวิธีการที่ดี + ความพยายามที่มากพอ เชื่อว่ามันจะออกมาดีมากๆ ค่ะ สู้ๆ นะทุกคน

ขอขอบคุณรูปภาพประกอบจาก
http://hdblusukan.hol.es/tenses/tenses-table-in-english-with-examples.html,
www.rfcafe.com/references/popular-electronics/crossword-puzzle-september-1957-popular-electronics.htm,
http://maselbahri.blogspot.com/2008/12/teaching-english-vocabulary-using-games.html,
https://pakenglish.wordpress.com/tag/fear-of-spoken-english/,
http://cinematicreactions.blogspot.com/2014_10_01_archive.html